“ผิวแห้ง” บำรุงผิวอย่างไร? ให้ผิวอิ่มน้ำ Program Wish Skin Infusion ช่วยได้จริงไหม?
- SPARK IDEA Digital Marketing
- 18 มิ.ย.
- ยาว 6 นาที

สวัสดีครับทุกคน! หมอโนโน่ นายแพทย์ ชนภัทร ชินเวชกิจวานิชย์ ว.60686 แพทย์เจ้าของคลินิกเวชกรรมความงาม Entrio Clinic ใจกลาง ราชประสงค์ ครับ!
ในฐานะแพทย์ผิวหนัง ที่ คลินิกเสริมความงาม ราชประสงค์ ผมได้พบเจอคนไข้มากมายที่มาพร้อมกับความกังวลเกี่ยวกับปัญหาผิวพรรณที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นหลุมสิว ริ้วรอย หรือแม้กระทั่งความหย่อนคล้อย แต่มีปัญหาหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นพื้นฐาน และส่งผลกระทบต่อคุณภาพผิวโดยรวมอย่างมหาศาล นั่นก็คือ "ผิวแห้ง" ครับ!
คุณอาจจะกำลังประสบปัญหานี้อยู่ใช่ไหมครับ? ผิวที่รู้สึกแห้งกร้าน ลอกเป็นขุย แต่งหน้าไม่ติด ผิวดูหมองคล้ำ ไม่สดใส บางครั้งอาจรู้สึกคันหรือระคายเคืองง่าย แม้จะพยายามบำรุงด้วยสกินแคร์หลายขั้นตอนแล้วก็ตาม
คำถามที่ผมมักจะได้รับเสมอคือ "ผิวแห้ง" บำรุงผิวอย่างไรให้ "ผิวอิ่มน้ำ" ได้จริง? และ "Program Wish Skin Infusion" ที่ Entrio Clinic พูดถึงนั้น จะช่วยให้ผิวอิ่มน้ำได้จริงไหม?
วันนี้ ผมจะมาไขข้อข้องใจเหล่านี้อย่างละเอียดในแบบฉบับของหมอโนโน่ครับ! ผมจะพาคุณไปทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาผิวแห้ง กลไกที่ซับซ้อนภายใต้ชั้นผิวของเรา และวิธีการบำรุงผิวที่ถูกต้อง เพื่อให้ "ผิวอิ่มน้ำ" อย่างยั่งยืน พร้อมเจาะลึกถึงนวัตกรรมและโปรแกรมพิเศษที่ Entrio Clinic ราชประสงค์ ที่ชื่อว่า "Wish Skin Infusion" ว่าจะสามารถเป็น "คำตอบ" สำหรับผิวแห้งของคุณได้อย่างไรบ้างครับ!
"ผิวแห้ง" ไม่ใช่แค่ขาดน้ำ... แต่คือสัญญาณของความเสียหายที่ซับซ้อนใต้ผิวหนัง!

ผิวแห้งเป็นปัญหาผิวที่พบบ่อยและสร้างความกังวลให้หลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพอากาศของประเทศไทยที่เปลี่ยนแปลงบ่อยและเต็มไปด้วยมลภาวะ หลายคนอาจเข้าใจว่าผิวแห้งเกิดจากการขาดน้ำเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องนัก จากประสบการณ์ของหมอโนโน่แห่ง Entrio Clinic ราชประสงค์ ปัญหา "ผิวแห้ง" เป็นสัญญาณของความเสียหายที่ซับซ้อนภายใต้ชั้นผิวหนัง ซึ่งหากปล่อยไว้อาจนำไปสู่ปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมาได้ บทความนี้จะเจาะลึกถึงสาเหตุที่แท้จริงของผิวแห้ง กลไกที่ซับซ้อนของปราการผิว และผลกระทบที่เกิดขึ้นเมื่อปราการผิวถูกทำลาย เพื่อให้เข้าใจถึงปัญหาผิวแห้งอย่างถ่องแท้ และนำไปสู่การดูแลผิวที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
ผิวแห้ง: สัญญาณของความเสียหายที่ซับซ้อนใต้ผิวหนัง
ผิวของเราคืออวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย และทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันด่านแรกจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ผิวหนังประกอบด้วยหลายชั้น แต่ชั้นที่สำคัญที่สุดในการคงความชุ่มชื้นและปกป้องผิวคือ "ปราการผิว" (Skin Barrier) ซึ่งอยู่ในชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชั้น Stratum Corneum หากปราการผิวนี้อ่อนแอลงหรือถูกทำลาย ความสามารถในการกักเก็บน้ำของผิวก็จะลดลง ทำให้ผิวสูญเสียน้ำอย่างรวดเร็วและเกิดภาวะผิวแห้งในที่สุด
1. ปราการผิว (Skin Barrier): ผู้พิทักษ์ความชุ่มชื้นและเกราะป้องกันผิว

ลองจินตนาการว่าผิวของเราเปรียบเสมือน "กำแพงอิฐ" ที่แข็งแรงและแน่นหนาครับ "ก้อนอิฐ" คือเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว (Corneocytes) ส่วน "ปูนซีเมนต์" ที่เชื่อมอิฐแต่ละก้อนเข้าไว้ด้วยกัน คือ "ไขมันระหว่างเซลล์" (Intercellular Lipids) ซึ่งประกอบด้วยสารสำคัญ 3 ชนิดหลักๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสม ได้แก่:
เซราไมด์ (Ceramides): เป็นส่วนประกอบหลักของไขมันระหว่างเซลล์ มีสัดส่วนประมาณ 50% ทำหน้าที่เป็นกาวเชื่อมเซลล์ผิวให้เกาะกันแน่นหนา ป้องกันการสูญเสียน้ำและสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ผิว
คอเลสเตอรอล (Cholesterol): มีสัดส่วนประมาณ 25% ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของปราการผิว
กรดไขมันอิสระ (Fatty Acids): มีสัดส่วนประมาณ 10-15% ช่วยเติมเต็มช่องว่างระหว่างเซลล์และเสริมความแข็งแรงของปราการผิว
เมื่อปราการผิวทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ผิวของเราจะสามารถ:
กักเก็บความชุ่มชื้น: โดยการลดการระเหยของน้ำจากผิวสู่บรรยากาศภายนอก (Transepidermal Water Loss - TEWL)
ป้องกันสิ่งแปลกปลอม: ป้องกันเชื้อโรค แบคทีเรีย สารเคมี สารก่อภูมิแพ้ และมลภาวะไม่ให้ซึมเข้าสู่ผิว
รักษาสมดุลค่า pH ของผิว: ผิวที่มีสุขภาพดีจะมีค่า pH เป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค
หากปราการผิวถูกทำลายหรือทำงานผิดปกติ เปรียบเสมือนกำแพงที่มีรอยร้าวหรือช่องโหว่ น้ำภายในผิวจะระเหยออกไปได้ง่ายขึ้น ผิวจะสูญเสียความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว และสิ่งแปลกปลอมจากภายนอกก็จะสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ง่ายขึ้น ทำให้เกิดปัญหาผิวแห้ง ระคายเคือง และแพ้ง่ายตามมา
2. สาเหตุเบื้องลึกของ "ผิวแห้ง" (เมื่อปราการผิวถูกทำลาย)
ปัญหาผิวแห้งไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวจากการขาดน้ำ แต่เกิดจากการทำลายหรือการทำงานที่บกพร่องของปราการผิว ซึ่งมีสาเหตุมาจากปัจจัยภายในและภายนอกร่างกายที่ซับซ้อน:
2.1 ปัจจัยภายในร่างกาย (Internal Factors):

กรรมพันธุ์ (Genetics): บางคนมีแนวโน้มที่จะมีผิวแห้งโดยธรรมชาติ เนื่องจากมียีนบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไขมันในผิวหนังหรือการสร้างเซราไมด์ที่บกพร่อง ทำให้ปราการผิวอ่อนแอตั้งแต่กำเนิด โรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรคภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis) ก็มักมีพื้นฐานมาจากความบกพร่องทางพันธุกรรมของปราการผิว
อายุที่เพิ่มขึ้น (Aging): เมื่อเรามีอายุมากขึ้น การทำงานของต่อมไขมัน (Sebaceous Glands) ในผิวหนังจะลดลง ทำให้การผลิตไขมันธรรมชาติบนผิวลดลง นอกจากนี้ การผลิตเซราไมด์และสารสำคัญอื่นๆ ในปราการผิวก็ลดลงตามวัย ทำให้ผิวหนังมีความสามารถในการกักเก็บความชุ่มชื้นลดลง ผิวจึงแห้งง่ายขึ้น และริ้วรอยเล็กๆ ก็ปรากฏชัดเจนขึ้น
ภาวะฮอร์โมนที่ไม่สมดุล (Hormonal Imbalance): การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ในช่วงวัยหมดประจำเดือน (Menopause) ที่ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง จะส่งผลให้การทำงานของต่อมไขมันและการผลิตคอลลาเจนและ HA ในผิวลดลง ทำให้ผิวแห้งและสูญเสียความยืดหยุ่น
ปัญหาสุขภาพและโรคประจำตัว (Health Conditions):
โรคไต (Kidney Disease): ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังมักมีปัญหาผิวแห้งและคัน เนื่องจากความผิดปกติของการทำงานของไตในการขับของเสียและการรักษาสมดุลของน้ำและแร่ธาตุในร่างกาย
โรคเบาหวาน (Diabetes): ระดับน้ำตาลในเลือดสูงส่งผลกระทบต่อระบบไหลเวียนโลหิตและเส้นประสาท ทำให้ผิวหนังแห้ง แตก และติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
โรคไทรอยด์ (Thyroid Disorders): โดยเฉพาะภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ (Hypothyroidism) ส่งผลให้กระบวนการเผาผลาญในร่างกายช้าลง รวมถึงการทำงานของต่อมไขมันและต่อมเหงื่อ ทำให้ผิวแห้งและหยาบกร้าน
ภาวะขาดน้ำในร่างกาย (Dehydration): การดื่มน้ำไม่เพียงพอ ทำให้เซลล์ในร่างกายรวมถึงเซลล์ผิวหนังขาดน้ำ ส่งผลให้ผิวแห้งตึงและดูไม่สดใส
ยาบางชนิด (Medications): ยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงทำให้ผิวแห้งได้ เช่น
ยารักษาสิวในกลุ่ม Retinoids (เช่น Isotretinoin): ยาเหล่านี้ช่วยลดการผลิตไขมันและเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวแห้งและลอก
ยาขับปัสสาวะ (Diuretics): เพิ่มการขับน้ำออกจากร่างกาย ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำและผิวแห้ง
ยาลดคอเลสเตอรอลกลุ่ม Statins: อาจส่งผลต่อการผลิตไขมันในร่างกาย ซึ่งรวมถึงไขมันในปราการผิวด้วย
2.2 ปัจจัยภายนอกและสิ่งแวดล้อม (External & Environmental Factors):

สภาพอากาศ (Climate):
อากาศแห้งและเย็น: โดยเฉพาะในฤดูหนาว หรือในพื้นที่ที่มีความชื้นต่ำ อากาศจะดึงความชุ่มชื้นออกจากผิว ทำให้ผิวแห้งและแตกได้ง่าย
ลมแรง: ลมแรงสามารถเร่งการระเหยของน้ำจากผิว (TEWL) ทำให้ผิวแห้งเร็วขึ้น
อากาศร้อนและแห้งจัด: บางภูมิภาคที่มีอากาศร้อนจัดและแห้งจัด ก็สามารถทำให้ผิวแห้งและเกิดภาวะขาดน้ำได้เช่นกัน
การอยู่ในห้องปรับอากาศเป็นเวลานาน (Air Conditioning): เครื่องปรับอากาศจะทำให้อากาศในห้องแห้ง ซึ่งจะดึงความชุ่มชื้นออกจากผิวตลอดเวลา ทำให้ผิวแห้งตึงและสูญเสียความยืดหยุ่น
แสงแดดและรังสียูวี (UV Radiation): การสัมผัสรังสียูวีเอ (UVA) และยูวีบี (UVB) โดยไม่มีการป้องกัน ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดผิวไหม้แดด ริ้วรอย และจุดด่างดำ แต่ยังทำลายเซลล์ผิวหนังและโครงสร้างของปราการผิว ทำให้ปราการผิวอ่อนแอลง และส่งผลให้ผิวแห้งกร้านในระยะยาว
มลภาวะ (Pollution): อนุภาคขนาดเล็กในมลภาวะ เช่น PM 2.5 และสารเคมีต่างๆ ในอากาศ สามารถแทรกซึมเข้าสู่ผิวหนัง ทำให้เกิดการอักเสบ เพิ่มอนุมูลอิสระ และทำลายปราการผิว ทำให้ผิวแห้ง ระคายเคือง และแพ้ง่าย
พฤติกรรมการอาบน้ำที่ไม่เหมาะสม (Improper Bathing Habits):
การอาบน้ำร้อนจัด: น้ำร้อนจัดจะชะล้างน้ำมันตามธรรมชาติที่เคลือบผิวอยู่ (Sebum) ออกไป ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว
การอาบน้ำนานเกินไป: ยิ่งอาบน้ำนาน ผิวก็จะยิ่งสูญเสียน้ำและน้ำมันธรรมชาติ
การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่รุนแรง: สบู่หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีส่วนผสมของสารลดแรงตึงผิวที่รุนแรง (เช่น SLS/SLES) มีค่า pH เป็นด่าง หรือมีแอลกอฮอล์สูง สามารถทำลายไขมันระหว่างเซลล์ในปราการผิว ทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองได้
การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม (Inappropriate Skincare Products):
ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ระคายเคือง: เช่น น้ำหอม, แอลกอฮอล์, สีสังเคราะห์, สารกันเสียบางชนิด (Parabens) สามารถทำให้ผิวแห้งและแพ้
การใช้สกินแคร์ไม่ตรงกับสภาพผิว: เช่น ผู้ที่มีผิวแห้งใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวมัน ซึ่งอาจมีส่วนผสมที่เน้นการควบคุมความมันและอาจทำให้ผิวแห้งมากขึ้น
การผลัดเซลล์ผิวมากเกินไป: การใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว (Exfoliants) เช่น AHA, BHA หรือการสครับผิวบ่อยเกินไปและรุนแรงเกินไป สามารถทำลายปราการผิวและทำให้ผิวแห้ง แดง ลอกได้
การขาดการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ: การไม่ทาครีมบำรุงผิว หรือไม่ทาครีมกันแดดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผิวขาดการปกป้องและบำรุงที่จำเป็น
3. ผลกระทบของ "ผิวแห้ง" ที่มากกว่าแค่ความรู้สึกตึงผิว

เมื่อผิวแห้งเรื้อรังและปราการผิวถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่สร้างความรู้สึกไม่สบายผิว แต่ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความงามของผิวในระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ
ริ้วรอยและความหย่อนคล้อยที่ชัดเจนขึ้น: ผิวที่ขาดน้ำจะขาดความยืดหยุ่นและความอวบอิ่ม ทำให้ริ้วรอยเล็กๆ (Fine Lines) ที่อาจจะมองไม่เห็นในตอนแรกดูชัดเจนขึ้น ผิวดูแห้งกร้านและหย่อนคล้อยกว่าวัย ทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าอายุจริง
ผิวหมองคล้ำ ไม่สดใส: เมื่อปราการผิวอ่อนแอ การผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติอาจไม่เป็นไปอย่างปกติ ทำให้เซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วสะสมอยู่บนพื้นผิว ทำให้ผิวดูหยาบกร้าน หมองคล้ำ และไม่เปล่งปลั่งสดใส เนื่องจากแสงไม่สามารถตกกระทบและสะท้อนกลับได้อย่างสม่ำเสมอ
แต่งหน้าไม่ติด ผิวเป็นขุย: เมื่อผิวแห้งและมีเซลล์ผิวที่ลอกเป็นขุย เครื่องสำอางจะไม่สามารถเกาะติดผิวได้ดี ทำให้รองพื้นเป็นคราบ ตกร่อง หรือผิวดูไม่เรียบเนียนขณะแต่งหน้า
ผิวแพ้ง่ายและระคายเคืองง่าย (Sensitive Skin): นี่คือผลกระทบที่สำคัญที่สุด! เมื่อปราการผิวถูกทำลาย "ช่องโหว่" ที่เกิดขึ้นทำให้สารก่อภูมิแพ้ สารเคมีจากเครื่องสำอาง มลภาวะ และเชื้อโรคจากภายนอกสามารถซึมผ่านเข้าสู่ชั้นผิวหนังได้ง่ายขึ้น ทำให้ผิวเกิดอาการแพ้ ระคายเคือง แสบ คัน แดง หรือแม้กระทั่งอักเสบได้ง่ายกว่าปกติ ผิวจะไวต่อปัจจัยภายนอกต่างๆ มากขึ้น
รูขุมขนกว้างขึ้น: ในบางกรณี เมื่อผิวขาดความชุ่มชื้น เซลล์ผิวรอบๆ รูขุมขนอาจแฟบลง ทำให้รูขุมขนดูเหมือนจะกว้างขึ้นและชัดเจนขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างผิวที่ขาดน้ำและไม่แข็งแรง
เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ: เมื่อปราการผิวอ่อนแอ การป้องกันเชื้อโรคก็ลดลง ทำให้ผิวมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา หรือไวรัสได้ง่ายขึ้น
อาการคันและอักเสบ: ผิวแห้งเรื้อรังสามารถนำไปสู่อาการคันที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน การเกาซ้ำๆ ยิ่งทำให้ปราการผิวเสียหายหนักขึ้น และอาจนำไปสู่การอักเสบ หรือผิวหนังอักเสบเรื้อรังได้
จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า "ผิวแห้ง" ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่เกิดจากการขาดน้ำเพียงผิวเผินครับ แต่คือสัญญาณเตือนจากร่างกายที่บ่งบอกถึงความเสียหายที่ซับซ้อนของ "ปราการผิว" และความบกพร่องในการทำงานของเซลล์ผิวหนัง รวมถึงการสูญเสียสารสำคัญในชั้นผิวหนังแท้ ซึ่งหากละเลยและไม่ได้รับการดูแลแก้ไขอย่างถูกวิธี อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพผิวที่รุนแรงและเรื้อรังตามมาได้
ดังนั้น การบำรุงผิวแห้งให้กลับมา "ผิวอิ่มน้ำ" อย่างแท้จริงนั้น ไม่ใช่แค่การทาครีมบำรุงผิวให้รู้สึกชุ่มชื้นชั่วคราว แต่เป็นการ "ฟื้นฟูและเสริมสร้างปราการผิว" ให้กลับมาแข็งแรงอย่างยั่งยืน และ "เติมสารสำคัญที่ผิวต้องการ" เข้าไปในชั้นผิวที่เหมาะสมอย่างล้ำลึก เพื่อให้ผิวของเราสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และกลับมามีสุขภาพดี อิ่มฟู เปล่งปลั่ง และแข็งแรงจากภายในสู่ภายนอกได้อย่างแท้จริงครับ
"ผิวอิ่มน้ำ" คืออะไร? และบำรุงผิวอย่างไรให้ "ผิวอิ่มน้ำ" ได้จริง!

หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับคำว่า "ผิวชุ่มชื้น" แต่สำหรับผม คำว่า "ผิวอิ่มน้ำ" นั้นลึกซึ้งกว่าและครอบคลุมมากกว่าครับ มันคือสภาพผิวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความชุ่มชื้นในทุกชั้นผิว ตั้งแต่ชั้นบนสุดไปจนถึงชั้นหนังแท้ ทำให้ผิวมีคุณสมบัติที่สมบูรณ์แบบ ทั้งในด้านสัมผัสและรูปลักษณ์ภายนอก
1. นิยามของ "ผิวอิ่มน้ำ": มากกว่าแค่ความชุ่มชื้น!
"ผิวอิ่มน้ำ" (Hydrated Skin / Plump Skin) ในมุมมองของแพทย์ผิวหนัง ไม่ได้หมายถึงแค่ผิวที่รู้สึกไม่แห้งตึงเท่านั้นครับ แต่มันคือผิวที่อยู่ในสภาวะสมดุล มีปริมาณน้ำที่เหมาะสม และปราการผิวทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ ส่งผลให้เกิดคุณสมบัติที่โดดเด่นดังนี้
ผิวรู้สึกนุ่มนวลและยืดหยุ่น (Soft and Supple): เมื่อสัมผัสจะรู้สึกได้ถึงความนุ่มละมุน ไม่หยาบกร้านหรือสากมือ ผิวมีความยืดหยุ่นสูง เมื่อลองกดเบาๆ ผิวจะเด้งกลับคืนรูปได้อย่างรวดเร็ว ไม่ทิ้งรอยบุ๋มไว้ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าผิวมีความสามารถในการรักษาโครงสร้างที่ดี
ผิวดูเรียบเนียนละเอียดและรูขุมขนกระชับ (Smooth and Refined Pores): การที่ผิวได้รับความชุ่มชื้นอย่างเพียงพอจะช่วยให้เซลล์ผิวชั้นบนเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ ทำให้ผิวดูเรียบเนียนละเอียด รูขุมขนดูกระชับขึ้น ริ้วรอยเล็กๆ ที่เกิดจากผิวขาดน้ำ (Fine Lines) ดูจางลง ทำให้ผิวโดยรวมดูสม่ำเสมอและอ่อนเยาว์
ผิวดูเปล่งปลั่ง สดใส มีชีวิตชีวา (Radiant and Luminous): ผิวที่อิ่มน้ำจะสะท้อนแสงได้ดีกว่าผิวแห้งหมองคล้ำ ทำให้ผิวดูมีออร่า สดใส และมีชีวิตชีวา เปรียบเสมือนผลไม้ที่ฉ่ำน้ำย่อมดูน่ารับประทานกว่าผลไม้ที่เหี่ยวแห้ง
ผิวแข็งแรง ไม่ระคายเคืองง่าย (Resilient and Less Sensitive): เมื่อปราการผิวทำงานได้อย่างสมบูรณ์ จะเป็นเกราะป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงในการปกป้องผิวจากสิ่งแปลกปลอม สารก่อภูมิแพ้ สารเคมี และมลภาวะ ทำให้ผิวไม่แพ้ ไม่คัน ไม่แสบ หรือเกิดการอักเสบได้ง่ายเหมือนผิวแห้งหรือผิวบอบบางแพ้ง่าย
แต่งหน้าติดทนทาน (Long-lasting Makeup): ผิวที่เรียบเนียนและชุ่มชื้นจะทำให้เครื่องสำอางเกาะติดได้ดี ไม่เป็นคราบ ไม่ตกร่อง และคงความสวยงามได้ยาวนานตลอดวัน
2. กลยุทธ์การบำรุงผิวให้ "ผิวอิ่มน้ำ" อย่างยั่งยืน (จากหมอโนโน่)
การมีผิวที่อิ่มน้ำอย่างยั่งยืนนั้น ต้องใช้กลยุทธ์แบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้งการดูแลจากภายในสู่ภายนอก และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่เหมาะสม โดยผมจะแบ่งการดูแลออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ การดูแลผิวจากภายนอก (Skincare Routine & Lifestyle Modification) และการดูแลผิวจากภายใน (Lifestyle & Nutrition)
2.1 การดูแลผิวจากภายนอก (Skincare Routine & Lifestyle Modification):

นี่คือหัวใจสำคัญของการบำรุงผิวให้ "ผิวอิ่มน้ำ" ครับ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้องและการปรับพฤติกรรมบางอย่างจะช่วยเสริมสร้างปราการผิวและกักเก็บความชุ่มชื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่อ่อนโยนที่สุด (Gentle Cleansing is Key):
หลีกเลี่ยงสบู่ที่มีฟองมาก หรือมีฤทธิ์เป็นด่างสูง: สบู่ที่มีฟองมากมักมีสารลดแรงตึงผิว (Surfactants) ที่รุนแรง ซึ่งสามารถชะล้างไขมันตามธรรมชาติที่เคลือบผิวออกไป ทำให้ปราการผิวอ่อนแอและผิวแห้งตึง
เลือก Cleanser ที่มีค่า pH เป็นกลาง (pH 5.5) หรือใกล้เคียงกับผิว: ผิวของเรามีค่า pH เป็นกรดอ่อนๆ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่า pH ใกล้เคียงกับผิวจะช่วยรักษาสมดุลของปราการผิว ไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง
ปราศจากส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง: มองหาผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า "Fragrance-free" (ไม่มีน้ำหอม), "Alcohol-free" (ไม่มีแอลกอฮอล์), "Paraben-free" (ไม่มีพาราเบน) และ "Sulfate-free" (ไม่มีสารซัลเฟต เช่น SLS/SLES) เพื่อลดความเสี่ยงในการระคายเคืองและทำลายปราการผิว
ทำความสะอาดอย่างเบามือ: ใช้ปลายนิ้วนวดคลึงผลิตภัณฑ์บนใบหน้าอย่างเบามือ ไม่ถูหรือขัดแรงๆ เพราะการเสียดสีที่รุนแรงสามารถทำลายปราการผิวได้
ล้างหน้าด้วยน้ำอุณหภูมิปกติ: หลีกเลี่ยงน้ำร้อนจัด เพราะน้ำร้อนจะชะล้างน้ำมันธรรมชาติออกจากผิว ทำให้ผิวแห้งตึงหลังล้างหน้า
งดล้างหน้าบ่อยเกินไป: โดยทั่วไป การล้างหน้าเพียงวันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น) ก็เพียงพอแล้วครับ หรือเมื่อจำเป็นจริงๆ เช่น หลังออกกำลังกายหนักๆ เพื่อไม่ให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นมากเกินไป
เติมน้ำให้ผิวด้วย "สารดึงดูดความชุ่มชื้น" (Humectants):
Hyaluronic Acid (HA): นี่คือหนึ่งในสุดยอด Humectant ที่ผิวของเราสร้างขึ้นตามธรรมชาติ และเป็นพระเอกในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวส่วนใหญ่ HA มีความสามารถในการอุ้มน้ำได้มากถึง 1,000 เท่าของน้ำหนักตัวมันเอง ช่วยดึงน้ำจากอากาศเข้าสู่ผิว และกักเก็บน้ำไว้ในชั้นผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มฟูจากภายใน
Glycerin: เป็น Humectant พื้นฐานที่มีประสิทธิภาพดีและราคาไม่แพง ช่วยดึงดูดน้ำจากอากาศเข้าสู่ผิว
Urea: นอกจากจะช่วยดึงดูดความชุ่มชื้นแล้ว ยังมีคุณสมบัติในการช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกอย่างอ่อนโยน ทำให้ผิวนุ่มขึ้น
Sodium PCA: เป็นส่วนประกอบของ Natural Moisturizing Factors (NMFs) ที่ผิวสร้างขึ้นเองตามธรรมชาติ ช่วยดึงดูดและกักเก็บความชุ่มชื้น
Aloe Vera, Propylene Glycol, Butylene Glycol: สารเหล่านี้ก็จัดอยู่ในกลุ่ม Humectants ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
เสริมปราการผิวด้วย "ไขมันจำเป็น" (Emollients & Occlusives):
Ceramides (เซราไมด์): เป็นกุญแจสำคัญของปราการผิวครับ การเติมเซราไมด์ให้กับผิวจะช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างไขมันระหว่างเซลล์ที่เสียหาย ทำให้ปราการผิวแข็งแรงขึ้น เปรียบเสมือนการเติมปูนซีเมนต์เข้าไปในกำแพงที่มีรอยร้าว ช่วยลดการสูญเสียน้ำและเพิ่มความสามารถในการป้องกันสิ่งแปลกปลอม
Cholesterol และ Fatty Acids: สารเหล่านี้มักมาคู่กับเซราไมด์ในสัดส่วนที่เหมาะสม (โดยเฉพาะสัดส่วน 3:1:1 ของ Ceramides:Cholesterol:Fatty Acids) เพื่อช่วยสร้างสมดุลของไขมันในปราการผิวให้สมบูรณ์และทำงานได้อย่างเต็มที่
Emollients (สารทำให้ผิวนุ่ม): เป็นสารที่ช่วยเติมเต็มช่องว่างระหว่างเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและนุ่มนวลขึ้น รวมถึงช่วยเสริมปราการผิว ตัวอย่างเช่น Shea Butter, Jojoba Oil, Squalane, Sunflower Seed Oil, Argan Oil, Fatty Alcohols (Cetyl Alcohol, Stearyl Alcohol)
Occlusives (สารเคลือบผิว): ทำหน้าที่เป็น "ฟิล์มเคลือบ" บนพื้นผิวหนัง เพื่อสร้างชั้นฟิล์มที่ช่วยลดการระเหยของน้ำจากผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง เหมาะสำหรับผิวที่แห้งมากหรือมีปัญหาปราการผิวรุนแรง ตัวอย่างเช่น Petrolatum (Vaseline), Mineral Oil, Lanolin, Dimethicone, Silicone derivatives
ลำดับการทาผลิตภัณฑ์: โดยทั่วไป ควรทาผลิตภัณฑ์ที่มี Humectants ก่อน (เช่น เซรั่ม HA) ตามด้วยผลิตภัณฑ์ที่มี Emollients และ Ceramides เพื่อเสริมสร้างปราการผิว และปิดท้ายด้วย Occlusives (ถ้าจำเป็นสำหรับผิวที่แห้งมาก) เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้น
ปกป้องผิวจากปัจจัยภายนอก (Environmental Protection):
ครีมกันแดดคือสิ่งสำคัญที่สุด: ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 PA+++ ขึ้นไป เป็นประจำทุกวัน ไม่ว่าจะอยู่ในบ้าน หรือวันฟ้าครึ้ม เพื่อปกป้องผิวจากรังสียูวีที่ทำลายคอลลาเจน อีลาสติน และปราการผิว ทำให้ผิวแก่ก่อนวัยและแห้งกร้าน
หลีกเลี่ยงอากาศแห้ง: หากต้องอยู่ในห้องปรับอากาศตลอดเวลา ควรใช้เครื่องทำความชื้น (Humidifier) ในห้อง เพื่อเพิ่มความชื้นในอากาศ และลดการดึงน้ำออกจากผิว
สวมเสื้อผ้าปกคลุม: เมื่อต้องเผชิญกับสภาพอากาศหนาวเย็น ลมแรง หรือแสงแดดจัด ควรเลือกสวมเสื้อผ้าที่ปกคลุมผิวเพื่อลดการสัมผัสโดยตรงกับปัจจัยที่ทำให้ผิวแห้ง
งดการอาบแดดโดยตรง: โดยเฉพาะการอาบแดดเพื่อผิวแทน เพราะเป็นการทำลายผิวอย่างรุนแรง
ปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน (Daily Habits):
อาบน้ำอุณหภูมิปกติและไม่นานเกินไป: หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อนจัดและจำกัดเวลาอาบน้ำให้ไม่เกิน 5-10 นาที
ซับผิวเบาๆ หลังอาบน้ำ: ใช้ผ้าขนหนูสะอาดซับผิวเบาๆ แทนการถูแรงๆ และควรทาครีมบำรุงผิวทันทีในขณะที่ผิวยังคงมีความชุ่มชื้นอยู่เล็กน้อย (ผิวหมาดๆ) เพื่อช่วยกักเก็บน้ำไว้ในผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
งดการขัดถูผิวที่รุนแรง: การสครับผิวบ่อยเกินไป หรือใช้ผลิตภัณฑ์ขัดผิวที่มีเม็ดบีดส์หยาบๆ สามารถทำลายปราการผิวและทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองได้ ควรทำแต่พอดีและเลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน
ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants): เช่น วิตามิน C, วิตามิน E, Ferulic Acid, CoQ10 สารเหล่านี้ช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากความเสียหายของอนุมูลอิสระที่เกิดจากแสงแดด มลภาวะ และความเครียด ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปราการผิวอ่อนแอ
2.2 การดูแลผิวจากภายใน (Lifestyle & Nutrition):

ผิวที่สุขภาพดีเริ่มต้นจากภายใน การดูแลตัวเองจากภายในจะช่วยเสริมสร้างผิวให้แข็งแรงและพร้อมรับมือกับปัจจัยภายนอก
ดื่มน้ำให้เพียงพอ (Stay Hydrated):
เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดครับ! การดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน หรือประมาณ 2 ลิตร ช่วยให้ร่างกายและเซลล์ผิวได้รับน้ำเพียงพอ ทำให้ผิวชุ่มชื้นจากภายในสู่ภายนอก การขาดน้ำในร่างกายส่งผลโดยตรงต่อความชุ่มชื้นของผิวหนัง
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และหลากหลาย (Balanced Nutrition):
กรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega-3 Fatty Acids): พบมากในปลาทะเลน้ำลึก (เช่น แซลมอน, ปลาแมคเคอเรล, ปลาซาร์ดีน), เมล็ดแฟลกซ์, เมล็ดเจีย, วอลนัท โอเมก้า 3 มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบและเสริมสร้างความแข็งแรงของผนังเซลล์ผิว และเป็นส่วนประกอบสำคัญของไขมันในปราการผิว
วิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ:
วิตามิน A: พบในผักใบเขียวเข้ม แครอท ฟักทอง ช่วยส่งเสริมการทำงานของเซลล์ผิว
วิตามิน C: พบในผลไม้รสเปรี้ยว ฝรั่ง มะเขือเทศ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
วิตามิน E: พบในถั่ว เมล็ดพืช น้ำมันพืช ช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากความเสียหายของอนุมูลอิสระ และเป็นสารให้ความชุ่มชื้น
สังกะสี (Zinc): พบในอาหารทะเล เนื้อสัตว์ ถั่ว ช่วยในกระบวนการซ่อมแซมผิว
สารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ: จากผักและผลไม้หลากสีสัน (Berry Fruits, ผักใบเขียว) ช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ (Adequate Sleep):
การนอนหลับที่มีคุณภาพอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน ช่วยให้ร่างกายได้ฟื้นฟูและซ่อมแซมเซลล์ผิวได้อย่างเต็มที่ ฮอร์โมนการเจริญเติบโตจะหลั่งออกมาในช่วงที่เราหลับลึก ซึ่งมีส่วนสำคัญในการซ่อมแซมและสร้างเซลล์ผิวใหม่
จัดการความเครียด (Stress Management):
ความเครียดเรื้อรังสามารถกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งสามารถนำไปสู่การอักเสบในร่างกายและส่งผลเสียต่อสุขภาพผิว ทำให้ผิวแห้ง ระคายเคือง และมีปัญหาอื่นๆ ตามมา การหาวิธีผ่อนคลายความเครียด เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือออกกำลังกาย จึงเป็นสิ่งสำคัญ
การบำรุงผิวให้ "ผิวอิ่มน้ำ" อย่างแท้จริงนั้น ต้องอาศัยความเข้าใจในกลไกของผิว ความสม่ำเสมอ และความอดทนครับ แต่เมื่อผิวได้รับสารอาหารที่เพียงพอจากทั้งภายในและภายนอก คุณจะสัมผัสได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน และนั่นคือเหตุผลที่ Entrio Clinic ราชประสงค์ มีโปรแกรมพิเศษอย่าง "Wish Skin Infusion" ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเติมเต็มสิ่งที่ผิวต้องการอย่างล้ำลึก เพื่อผลลัพธ์ที่ "ผิวอิ่มน้ำ" อย่างยั่งยืนครับ
Program "Wish Skin Infusion" ที่ Entrio Clinic ราชประสงค์: ผิวอิ่มน้ำ... สั่งได้จริงหรือ?

คำถามที่หลายคนอยากรู้คือ Program "Wish Skin Infusion" ที่ Entrio Clinic ราชประสงค์นี้ จะช่วยให้ "ผิวอิ่มน้ำ" ได้จริงหรือ? และมันแตกต่างจากการบำรุงผิวแบบทั่วไปอย่างไร? วันนี้ ผมจะมาเจาะลึกทุกแง่มุมของโปรแกรมนี้ เพื่อไขข้อสงสัยและให้ข้อมูลที่ครบถ้วนแก่คุณครับ!
Entrio Clinic ราชประสงค์ เราเข้าใจดีว่าคนไข้แต่ละท่านมีความต้องการและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน บางท่านอาจจะอยากบำรุงผิวอย่างล้ำลึก แต่ไม่สบายใจกับการใช้เข็ม Program Wish Skin Infusion จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์นี้ ด้วยเทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์และได้รับการยอมรับในระดับสากลครับ
โปรแกรม Wish Skin Infusion คืออะไร? หัวใจคือ "Magnetic Infusion Technology"
หัวใจสำคัญของ Program Wish Skin Infusion คือนวัตกรรมที่เรียกว่า "Magnetic Infusion Technology" หรือที่เข้าใจง่ายๆ คือ "ชิปแม่เหล็กอัจฉริยะ" ครับ โดยเทคโนโลยีนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ข้อจำกัดของการทาสกินแคร์ทั่วไปที่สารอาหารซึมเข้าสู่ผิวได้ยาก และการฉีดที่บางคนไม่ต้องการ
หลักการทำงาน:
Wish Skin Infusion ทำงานโดยการใช้พลังงานคลื่นแม่เหล็ก ซึ่งถูกแปลงให้เป็นสนามพลังงานแสง ผ่าน "ชิปแม่เหล็กอัจฉริยะ" ที่ติดตั้งอยู่ที่หัวเครื่อง เมื่อหัวเครื่องสัมผัสกับผิว สนามพลังงานนี้จะเหนี่ยวนำให้เกิดการสั่นสะเทือนระดับไมโคร ช่วย "เปิดทาง" ให้ผิวหนังสามารถรับสารอาหารผิวที่มาในรูปแบบของ "แคปซูลวิตามิน" ที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะได้อย่างล้ำลึกและมีประสิทธิภาพสูงสุดครับ
กล่าวคือ Magnetic Infusion Technology ช่วย:
เพิ่มการซึมผ่านของสารอาหาร: ทำให้สารบำรุงจากแคปซูลสามารถแทรกซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างล้ำลึกกว่าการทาปกติ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เข็ม
ส่งพลังงานเสริม: พลังงานคลื่นแม่เหล็กที่แปลงเป็นสนามพลังงานแสงยังทำงานร่วมกับสารอาหารในแคปซูล เพื่อเสริมประสิทธิภาพการบำรุงและฟื้นฟูเซลล์ผิว
โปรแกรม Wish Skin Infusion ทำงานอย่างไร? "พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า" ผลักสารอาหารผิวตรงจุด
การทำงานของ Wish Skin Infusion เป็นการผสานพลังระหว่างเทคโนโลยีและวิทยาการด้านเวชสำอางอย่างลงตัวครับ ด้วยการเหนี่ยวนำของพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Infusion) ที่ถูกส่งผ่านจากหัวเครื่องไปยังผิวของคุณอย่างอ่อนโยน สารอาหารผิวหลากชนิดที่บรรจุอยู่ในแคปซูลจะถูก "ผลัก" และ "แทรกซึม" เข้าสู่ผิวของคุณโดยตรงอย่างมีประสิทธิภาพ
สิ่งที่ทำให้ Wish Skin Infusion น่าสนใจคือการทำงานที่ "ไม่เจ็บตัว" และ "ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง" ครับ ผู้เข้ารับบริการจะรู้สึกสบายผิวตลอดการทำหัตถการ ราวกับการทำทรีตเมนต์บำรุงผิวหน้าทั่วไป แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นล้ำลึกและชัดเจนกว่ามาก
โปรแกรม Wish Skin Infusion ช่วยเรื่องอะไรบ้าง? ครอบคลุมทุกปัญหาผิว!
ความโดดเด่นของ Wish Skin Infusion คือความหลากหลายในการตอบโจทย์ปัญหาผิวที่แตกต่างกัน ด้วยการทำงานร่วมกันของ "ชิปแม่เหล็กอัจฉริยะ 4 ประเภท" และ "แคปซูลวิตามิน 13 สูตร" ทำให้สามารถปรับแต่งการรักษาให้เหมาะกับแต่ละบุคคลได้อย่างแท้จริงครับ
ปัญหาผิวที่ Wish Skin Infusion ช่วยดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ:
ผิวหมองคล้ำ ไม่กระจ่างใส: ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วอย่างอ่อนโยน พร้อมเติมสารอาหารที่ช่วยปรับสีผิวให้สว่างขึ้น
ริ้วรอยและความหย่อนคล้อย: กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ และช่วยให้ผิวดูกระชับขึ้น
สิวอักเสบ / สิวอุดตัน: ลดการอักเสบของผิว ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P. Acnes ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว และช่วยลดการเกิดสิวใหม่
ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น: เติมเต็ม Hyaluronic Acid และสารอาหารที่จำเป็น ช่วยให้ผิวอิ่มน้ำและเสริมสร้างปราการผิวให้แข็งแรง
ผิวแพ้ง่าย / บอบบาง: มีแคปซูลและชิปที่ออกแบบมาเพื่อลดการอักเสบ เสริมเกราะป้องกันผิว และฟื้นฟูผิวที่บอบบาง
ผิวที่ต้องการฟื้นฟูหลังการทำหัตถการอื่นๆ: ช่วยลดการระคายเคืองและเร่งกระบวนการฟื้นตัวของผิว
เจาะลึก "ชิปแม่เหล็กอัจฉริยะ 4 ประเภท" ของ Wish Skin Infusion

ชิปเหล่านี้คือหัวใจสำคัญที่กำหนด "ประเภทของพลังงาน" ที่จะถูกส่งเข้าสู่ผิว โดยแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติและกลไกการทำงานที่แตกต่างกัน
1. Green (Exfoliation) - ชิปสำหรับผลัดเซลล์ผิว:
การทำงาน: ชิปสีเขียวนี้จะส่งพลังงานที่ช่วยเพิ่มระบบไหลเวียนเลือด และเสริมสร้างการกระตุ้นต่อมน้ำเหลืองใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการกำจัดของเสียและเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ
ประโยชน์:
สีผิวสว่างกระจ่างใส: ช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าที่หมองคล้ำออกไป เผยผิวใหม่ที่ดูกระจ่างใสขึ้น
ส่งตรงสารอาหารให้แก่ผิว: การไหลเวียนเลือดที่ดีขึ้นจะช่วยให้สารอาหารจากแคปซูลซึมซาบและนำพาไปหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวได้ดีขึ้น
เพิ่มระบบผลัดเซลล์ผิว: ส่งเสริมกระบวนการผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติ ทำให้ผิวดูเรียบเนียนละเอียดขึ้น
เพิ่มระบบไหลเวียนเลือด: ผิวที่ได้รับเลือดหมุนเวียนดีจะดูมีสุขภาพดีและเปล่งปลั่ง
เสริมสร้างระบบไหลเวียนของเสีย (Lymphatic Drainage): ช่วยลดการสะสมของของเสียใต้ผิวหนัง ลดอาการบวมและทำให้ผิวดูสดใส
2. Red (660nm LED) - ชิปแสงสีแดงเพื่อการกระตุ้นคอลลาเจน:
การทำงาน: ชิปสีแดงนี้จะปล่อยพลังงานแสง LED ที่ความยาวคลื่น 660 นาโนเมตร ซึ่งเป็นความยาวคลื่นที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถกระตุ้นเซลล์ Fibroblasts ในชั้นหนังแท้ได้โดยตรง เซลล์ Fibroblasts มีหน้าที่หลักในการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน
ประโยชน์:
บำรุงรักษาผิว: ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวโดยรวมให้แข็งแรงขึ้น
ลดริ้วรอย: การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่จะช่วยเติมเต็มริ้วรอยเล็กๆ ให้ดูตื้นขึ้น
สร้างคอลลาเจนและอีลาสติน: เพิ่มความหนาแน่นและความยืดหยุ่นให้กับผิว ทำให้ผิวดูกระชับ เต่งตึง และอ่อนเยาว์ขึ้น
3. Blue (420-720nm LED) - ชิปแสงสีน้ำเงิน/เขียวเพื่อรักษาสิว:
การทำงาน: ชิปสีน้ำเงินนี้จะปล่อยพลังงานแสง LED ในช่วงความยาวคลื่น 420-720 นาโนเมตร ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษในการเพิ่มออกซิเจนใต้ผิวหนัง และกำจัดแบคทีเรีย P. Acnes ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว ทำให้ผิวอักเสบลดลง
ประโยชน์:
ลดการเกิดใหม่ของสิว: เมื่อแบคทีเรีย P. Acnes ถูกทำลาย สาเหตุหลักของการเกิดสิวก็จะลดลง
ผิวอักเสบลดลง: ช่วยลดอาการบวม แดง และอักเสบจากสิว
ฆ่าแบคทีเรีย P. Acnes: เป็นการรักษาปัญหาสิวที่ต้นเหตุอย่างมีประสิทธิภาพ
4. Gold (Microcurrent) - ชิปกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ เพื่อยกกระชับ:
การทำงาน: ชิปสีทองนี้จะปล่อยพลังงาน Microcurrent หรือกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ในระดับที่ปลอดภัย ซึ่งจะเข้าไปกระตุ้นและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าคล้ายกับการออกกำลังกาย ทำให้กล้ามเนื้อกระชับและยกกระชับโครงสร้างผิวโดยรวม
ประโยชน์:
กล้ามเนื้อบริเวณหน้ากระชับ: ช่วยให้กล้ามเนื้อใบหน้าเฟิร์มขึ้น
ฟื้นฟูผิวหย่อนคล้อยตามวัย: ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยตามแรงโน้มถ่วงและอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้กรอบหน้าดูชัดขึ้นและผิวดูอ่อนเยาว์
ส่งตรงสารอาหารให้แก่ผิว: กระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ยังช่วยเพิ่มการซึมผ่านของสารอาหารจากแคปซูลเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น
"แคปซูลวิตามิน 13 สูตร" ตอบโจทย์ทุกสภาพปัญหาผิว

นอกจากชิปอัจฉริยะแล้ว "แคปซูลวิตามิน" ที่ใช้กับ Wish Skin Infusion ยังเป็นสูตรเฉพาะที่พัฒนาขึ้นอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้สารอาหารที่จำเป็นต่อผิวในความเข้มข้นที่เหมาะสม และเมื่อทำงานร่วมกับเทคโนโลยี Magnetic Infusion จะช่วยให้ผลลัพธ์ดียิ่งขึ้นไปอีก หมอโนโน่จะเลือกแคปซูลที่เหมาะสมกับปัญหาผิวของคนไข้แต่ละรายครับ
ตัวอย่างแคปซูลวิตามินบางส่วนที่โดดเด่น:
กลุ่ม NATURAL
PEEL EXFOLIATOR: (ธรรมชาติ 100%) เหมาะสำหรับคนต้องการผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน ทำให้หน้าเนียนนุ่มและกระจ่างใส
CALMING MILK: เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย ช่วยลดการอักเสบของผิว สร้างเกราะป้องกันผิว เพื่อสุขภาพที่ดี
REJUVENATION: ฟื้นฟูผิวที่เสียหายจากแสงแดด ลดรอยแตกลาย คืนความยืดหยุ่น ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
ANTI AGING SERUM: เหมาะสำหรับผิวที่ค่อนข้างแพ้ง่าย เป็นสิวง่ายช่วยสร้างเกราะ ล็อควิตามินและความชุ่มชื้นทำให้ผิวดูมีน้ำมีนวลและลดริ้วรอย
กลุ่ม INFUSION
COLLAGEN INFUSION: ลดการระคายเคืองและป้องกันการถูกทำลายหลังจากการรักษาอื่นๆ และช่วยป้องกันจากรังสี ชะลอการเสื่อมสภาพ
BTX INFUSION: (Botox-like effect) ลดเลือนริ้วรอยและกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ปรับสีผิวให้แลดูกระจ่างใสมากขึ้น
HYALURONIC INFUSION: เหมาะสำหรับผิวแห้ง ที่ต้องการความชุ่มชื้น กระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ผิว ช่วยให้ผิวอิ่มน้ำได้จริง
กลุ่ม AGING PROCESS CONTROL
AGE CONTROL: ยกกระชับผิวหน้า ทำให้กรอบหน้าดูชัดขึ้น และทำให้ผิวมีความแน่น ดูกระชับมากขึ้น
WISH CONTOUR: ลดรอยคล้ำรอบดวงตา ทำให้สีผิวสม่ำเสมอแลดูกระจ่างใสมากขึ้น ลดเลือนริ้วรอยและกระชับผิวที่หย่อนคล้อย
WISH CARE: เหมาะสำหรับผิวบอบบาง แพ้ง่าย ซ่อมแซมผิวฟื้นฟูบาดแผล และดูแลปัญหาผิวหลังการเกิดสิว
กลุ่ม ACTIVE PRO-LONG
BRIGHTENING APL: เหมาะสำหรับผิวที่ต้องการความกระจ่างใส ลดจุดด่างดำบนผิวให้ดูจางลง ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
REPAIRING APL: เหมาะสำหรับผิวที่ต้องการซ่อมแซมและได้รับการป้องกันผิว ช่วยให้ผิวแข็งแรง ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น กระบวนการฟื้นตัวของแผลหายไวขึ้น
NEO ENERGY APL: เหมาะสำหรับผิวที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยผิวกระชับขึ้นภายใน 15 วันหลังทำ เทียบเท่ากับการฉีดฟิลเลอร์ (แต่ไม่มีการฉีด)
โปรแกรม Wish Skin Infusion เหมาะกับใคร?
เหมาะกับคนที่อยากเริ่มดูแลผิวหน้า: เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้เริ่มต้นที่ต้องการการบำรุงผิวอย่างล้ำลึกแต่ยังไม่เคยเข้ารับบริการในคลินิก
เหมาะกับผู้ที่อยากได้รับสารอาหารเติมเต็มให้ผิว แต่ไม่อยากใช้เข็มฉีด: นี่คือจุดแข็งสำคัญ! Wish Skin Infusion มอบผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับการฉีดเมโสหน้าใสหรือ Skinboosters ในบางแง่มุม โดยไม่จำเป็นต้องใช้เข็ม ทำให้เป็นทางเลือกที่สบายใจสำหรับผู้ที่กลัวเข็มหรือไม่สะดวกกับการทำหัตถการแบบฉีด
เหมาะกับทุกปัญหาผิว: ด้วยความหลากหลายของชิปแม่เหล็กและแคปซูลวิตามิน ทำให้ Wish Skin Infusion สามารถตอบโจทย์ได้แทบทุกสภาพปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้ง หมองคล้ำ ริ้วรอย สิว หรือผิวบอบบางแพ้ง่าย
เหมาะกับผู้ที่ต้องการบำรุงผิวเร่งด่วนก่อนออกงาน: ด้วยความสามารถในการส่งสารอาหารเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เห็นผลลัพธ์ได้ค่อนข้างเร็ว ผิวจะดูอิ่มฟู เปล่งปลั่งขึ้น
เหมาะกับการดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง: สามารถทำเป็นประจำเพื่อคงสภาพผิวที่ดีและบำรุงผิวอย่างยั่งยืน
วิธีดูแลหลังรักษา: ง่ายและสะดวกสบาย!
จุดเด่นอีกอย่างของ Wish Skin Infusion คือขั้นตอนการดูแลหลังทำที่ง่ายมากครับ:
สามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ: หลังทำเสร็จ สามารถแต่งหน้าและดำเนินชีวิตประจำวันได้ทันที
ดูแลรักษาผิวหน้าได้ตามปกติ: สามารถใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวประจำวันได้ตามปกติ
ยกเว้นแคปซูล Peel Exfoliator: หากมีการใช้แคปซูล Peel Exfoliator ในวันนั้น ควรหลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิวเป็นเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อให้ผิวได้พักและฟื้นตัวอย่างเต็มที่
สรุปจากใจหมอโนโน่: Wish Skin Infusion ที่ Entrio Clinic ราชประสงค์... ทางเลือกสู่ผิวอิ่มน้ำและสุขภาพดีที่ไม่ต้องใช้เข็ม!
ในฐานะแพทย์ ผมเชื่อว่าการดูแลผิวที่ดีที่สุดคือการเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับความต้องการและสภาพผิวของแต่ละบุคคลครับ Program Wish Skin Infusion เป็นนวัตกรรมที่น่าสนใจอย่างยิ่งในวงการความงาม เพราะมันเปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่ต้องการใช้เข็มได้สัมผัสกับการบำรุงผิวอย่างล้ำลึก ด้วยเทคโนโลยี Magnetic Infusion ที่ช่วยให้สารอาหารสำคัญซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่ Entrio Clinic คลินิกเสริมความงาม ราชประสงค์ ผมและทีมแพทย์พร้อมที่จะประเมินสภาพผิวของคุณอย่างละเอียด และแนะนำว่า Program Wish Skin Infusion จะเป็นทางเลือกที่ "ใช่" สำหรับคุณหรือไม่ หรืออาจเป็นการทำ Combination Therapy ร่วมกับหัตถการอื่นๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด
หากคุณกำลังมองหาวิธีเติมเต็มสารอาหารให้ผิวอย่างล้ำลึก อยากให้ผิวดูอ่อนเยาว์ สดใส และกระชับขึ้น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเข็มเจ็บ ผมขอเชิญชวนให้คุณเข้ามาปรึกษาเราที่ Entrio Clinic ราชประสงค์ ครับ เราพร้อมที่จะดูแลคุณในทุกขั้นตอน เพื่อให้คุณได้ค้นพบผิวที่อิ่มน้ำ สุขภาพดี และเปล่งปลั่งในแบบที่คุณปรารถนาครับ
Entrio Clinic - Refined Aesthetic Experience
“เราเชื่อว่า ความสวยที่แท้จริง มาจากสุขภาพผิวที่ดี และความเข้าใจในวิทยาศาสตร์”
📍 ที่ตั้ง: https://maps.app.goo.gl/X9WpN51pnK5otKip8
ชั้น 4 ตึกเอราวัณ แบงค็อก (Erawan Bangkok), สี่แยกราชประสงค์ (หลังศาลท้าวมหาพรหมเอราวัณ) กรุงเทพมหานคร
💬 Line: @entrioclinic หรือคลิก bit.ly/EntrioLine
📞 โทร: 097-154-2222
🌐 Website: entrioclinic.com
💻 Facebook: facebook.com/EntrioClinic
📷 Instagram: entrioclinic หรือคลิ๊ก instagram.com/entrioclinic/
Comments