top of page
  • Whatsapp
  • Line
  • Facebook
  • Instagram
ค้นหา

Oligio vs สกินบูสเตอร์ (Skinbooster): 'หมอโนโน่' แห่ง Entrio Clinic คลินิกเสริมความงาม ย่านราชประสงค์ ไขข้อข้องใจ เลือกหัตถการไหนดี เพื่อผิวยกกระชับและงานผิวสวย

Oligio vs สกินบูสเตอร์ (Skinbooster): 'หมอโนโน่' แห่ง Entrio Clinic คลินิกเสริมความงาม ย่านราชประสงค์ ไขข้อข้องใจ เลือกหัตถการไหนดี เพื่อผิวยกกระชับและงานผิวสวย
Oligio vs สกินบูสเตอร์ (Skinbooster): 'หมอโนโน่' แห่ง Entrio Clinic คลินิกเสริมความงาม ย่านราชประสงค์ ไขข้อข้องใจ เลือกหัตถการไหนดี เพื่อผิวยกกระชับและงานผิวสวย

สวัสดีครับ! หมอโนโน่ นายแพทย์ ชนภัทร ชินเวชกิจวานิชย์ ว.60686 แพทย์เจ้าของ คลินิกเวชกรรมความงาม Entrio Clinic ใจกลาง ราชประสงค์ ครับ!


ตลอดระยะเวลาที่ผมดูแลปัญหาผิวให้กับคนไข้หลายเคส ผมมักจะได้ยินคำถามเดิมอยู่เสมอว่า “ควรเลือก Oligio หรือ สกินบูสเตอร์ (Skinbooster) ดี?” เพราะทั้งสองหัตถการนี้เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับคนที่อยากยกกระชับผิวและฟื้นฟูผิวให้ดูสุขภาพดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ


ในความเป็นจริงแล้ว Oligio และ Skinbooster ไม่ได้มาแทนกัน แต่ต่างมีจุดเด่นเฉพาะตัวที่ตอบโจทย์คนละปัญหา หากเข้าใจข้อแตกต่างของแต่ละวิธีอย่างถูกต้อง คุณจะสามารถเลือกหัตถการที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง หรือแม้กระทั่งผสมผสานทั้งสองวิธี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ครบกว่าเดิม

ทุกวันนี้ ปัจจัยอย่างความเครียด มลภาวะ อายุที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต ล้วนส่งผลให้ผิวสูญเสียคอลลาเจน ความกระชับ และความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ ทำให้หลายคนเริ่มมองหาวิธีฟื้นฟูผิวที่ให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและมีมาตรฐานทางการแพทย์รองรับ


และนี่คือเหตุผลที่หัตถการอย่าง Oligio และ Skinbooster ได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะไม่ใช่เพียงการแก้ไขปัญหาผิวเฉพาะจุด แต่ยังช่วยฟื้นบำรุงผิวจากภายในสู่ภายนอก ให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์ สดใส และสุขภาพดี


วันนี้ ผมอยากพาทุกคนมาทำความเข้าใจว่า Oligio และ Skinbooster ต่างกันอย่างไร ใครเหมาะกับวิธีไหน และในบางกรณี การทำทั้งสองวิธีร่วมกันอาจช่วยให้ผิวคุณดูดีขึ้นได้อย่างลงตัว เพื่อให้คุณมีข้อมูลครบถ้วนก่อนตัดสินใจเลือกวิธีดูแลผิวที่ใช่สำหรับตัวเองครับ

เบื้องหลังปัญหาผิว: ทำไมผิวถึงหย่อนคล้อย ขาดน้ำ และหมองคล้ำ?

เบื้องหลังปัญหาผิว: ทำไมผิวถึงหย่อนคล้อย ขาดน้ำ และหมองคล้ำ?
เบื้องหลังปัญหาผิว: ทำไมผิวถึงหย่อนคล้อย ขาดน้ำ และหมองคล้ำ?

เมื่อพูดถึง "ปัญหาผิว" หลายคนอาจนึกถึงแค่ริ้วรอยบางๆ ความแห้งกร้าน หรือใบหน้าที่ดูหมองคล้ำหลังทำงานหนัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เบื้องหลังผิวที่ดูเหนื่อยล้าเหล่านี้ มี "กระบวนการซับซ้อน" ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องภายใต้ผิวของเรา ซึ่งเกี่ยวข้องกับคอลลาเจน ความชุ่มชื้น และการผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติ


หากเราไม่เข้าใจ “ต้นตอ” ของปัญหาเหล่านี้ ก็เหมือนกับการพยายามปกปิดรอยร้าวของผนังด้วยการทาสีทับ ทั้งที่รากฐานข้างใต้กำลังทรุดอยู่ตลอดเวลา ผลลัพธ์ที่ได้จึงไม่เคยยั่งยืน


ผมที่ได้คลุกคลีอยู่กับปัญหาผิวเหล่านี้มานับไม่ถ้วนที่ Entrio Clinic คลินิกเสริมความงาม ย่านราชประสงค์ พบว่าคนส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดว่าผิวโทรมเกิดจากแค่ "การพักผ่อนน้อย" หรือ "การใช้ครีมบำรุงไม่ดีพอ" แต่ความจริงแล้ว ปัญหาผิวเหล่านี้มี "กลไกภายใน" ที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุด


และนี่คือเหตุผลว่าทำไมเทคโนโลยีด้านผิวพรรณอย่าง Oligio และ Skinbooster ถึงถูกพูดถึงอย่างมาก เพราะทั้งสองหัตถการนี้ไม่ได้ดูแลแค่ผิวชั้นนอก แต่ลงลึกไปถึงต้นตอของปัญหาผิวอย่างแท้จริง

วันนี้ผมจะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า อะไรคือ “กลไกสำคัญ” ที่ทำให้ผิวหย่อนคล้อย ขาดน้ำ และหมองคล้ำ พร้อมไขคำตอบว่าทำไมการฟื้นฟูผิวอย่างลึกซึ้งจึงเป็นกุญแจสำคัญในการกู้คืนผิวสวยที่แท้จริง

1. ผิวหย่อนคล้อย : สัญญาณเตือนของโครงสร้างผิวที่เสื่อมสภาพ

เคยสังเกตไหมครับ ว่าผิวหน้าเราเริ่มไม่กระชับเหมือนก่อน เหมือนมีแรงดึงดูดตามแรงโน้มถ่วงที่ทำให้ผิวหย่อนคล้อยลงอย่างเลี่ยงไม่ได้? นั่นคือสัญญาณที่บอกว่าโครงสร้างภายในผิวของคุณเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว คอลลาเจนและอีลาสตินที่เคยเป็น "เสาหลัก" คอยหนุนผิวให้เต่งตึงและยืดหยุ่น กำลังถูกทำลายจากปัจจัยต่าง ๆ ทั้งแสงแดด ความเครียด และอายุที่เพิ่มขึ้น เมื่อโครงสร้างเหล่านี้อ่อนแอ ผิวจึงเริ่มหย่อนคล้อย เส้นกรอบหน้าก็ไม่ชัดเจนเหมือนเดิม และริ้วรอยก็ค่อย ๆ แอบมาเยือน

ลักษณะที่ควรสังเกต:

  • ผิวเริ่มไม่กระชับ ไม่ตึงเหมือนเดิม

  • ริ้วรอยลึกขึ้นบริเวณรอบดวงตา ริมฝีปาก หรือหน้าผาก

  • เส้นกรอบหน้าไม่ชัดเจน หรือมีแก้มที่หย่อนคล้อยลง

สาเหตุเบื้องต้น:

  • การลดลงของคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนัง

  • การสัมผัสแสงแดดและมลภาวะสะสมเป็นเวลานาน

  • พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การนอนน้อย เครียดสะสม

2.ผิวขาดน้ำ : รู้หรือไม่? ว่าน้ำคือ “พลังชีวิต” ของผิวคุณ

น้ำไม่ใช่แค่ของเหลวธรรมดา แต่คือ “หัวใจ” ที่แท้จริงของผิวสุขภาพดี หากผิวขาดน้ำ มันก็เหมือนกับต้นไม้ที่ไม่ได้รดน้ำ เหี่ยวเฉาและอ่อนแอ ผิวที่แห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้นจะไม่สามารถปกป้องตัวเองจากสิ่งแวดล้อม หรือฟื้นฟูตัวเองได้ดีเท่าที่ควร ผิวจึงดูหยาบกร้าน แต่งหน้าไม่ติด และที่สำคัญคือริ้วรอยจะยิ่งเห็นชัดขึ้น

ลักษณะที่ควรสังเกต:

  • ผิวรู้สึกแห้งกร้าน แต่งหน้าไม่ติด หรือเป็นขุย

  • ริ้วรอยเล็ก ๆ เริ่มเห็นชัดขึ้น แม้ผิวยังไม่แก่

  • ผิวดูหมอง ไม่สดใส ดูเหนื่อยล้า

สาเหตุเบื้องต้น:

  • ชั้นผิวสูญเสียน้ำ (TEWL - Trans-Epidermal Water Loss) มากเกินไป

  • ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหรือสกินแคร์ที่ทำลายเกราะป้องกันผิว

  • พฤติกรรมดื่มน้ำน้อย หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่แห้ง

3.ผิวหมองคล้ำ : เมื่อเซลล์ผิวเสื่อมและผลัดเปลี่ยนช้าเกินไป

ลองนึกภาพดูสิครับว่า ผิวของเราคือผืนผ้าใบที่ต้องได้รับการดูแลและเปลี่ยนใหม่อย่างสม่ำเสมอ แต่ถ้าผิวเริ่มเสื่อมและกระบวนการผลัดเซลล์ช้าลง? ผิวเก่าที่ตายแล้วจะทับถมจนทำให้ใบหน้าดูหมองคล้ำ ไม่สดใส แถมยังทำให้รอยดำ จุดด่างดำ และความไม่สม่ำเสมอของสีผิวยิ่งเห็นชัดเจนขึ้น

ลักษณะที่ควรสังเกต:

  • ผิวดูคล้ำ ไม่กระจ่างใส แม้จะพักผ่อนเพียงพอ

  • จุดด่างดำหรือรอยดำจากสิวเริ่มเห็นชัด

  • สีผิวไม่สม่ำเสมอ มีความหมองในบางจุด

สาเหตุเบื้องต้น:

  • กระบวนการผลัดเซลล์ผิวช้าลง เซลล์เก่าไม่ถูกขจัดออก

  • การสะสมของเมลานินจากแสงแดดและความเครียด

  • ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี ส่งผลต่อการนำสารอาหารไปเลี้ยงผิว


ปัญหาเหล่านี้มักเกิดขึ้นพร้อมกันและทำให้ผิวดูเหนื่อยล้า เทคโนโลยี Oligio และ Skinbooster จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์การฟื้นฟูผิวทั้งด้านความกระชับและความชุ่มชื้น ให้ผิวกลับมาสดใสและมีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก.

Oligio คืออะไร? ยกกระชับผิวแบบ "เทคโนโลยีเจนใหม่" ที่คนรักงานผิวต้องรู้จัก โดย ‘หมอโนโน่’ แห่ง Entrio Clinic ราชประสงค์

Oligio คืออะไร? ยกกระชับผิวแบบ "เทคโนโลยีเจนใหม่" ที่คนรักงานผิวต้องรู้จัก โดย ‘หมอโนโน่’ แห่ง Entrio Clinic ราชประสงค์
Oligio คืออะไร? ยกกระชับผิวแบบ "เทคโนโลยีเจนใหม่" ที่คนรักงานผิวต้องรู้จัก โดย ‘หมอโนโน่’ แห่ง Entrio Clinic ราชประสงค์

เคยไหมครับ? ส่องกระจกแล้วรู้สึกว่าผิวหน้าเหมือน “หมดไฟ” ทั้งที่ใช้ครีมบำรุงมาทุกตัว แต่กรอบหน้าก็ยังดูไม่ชัด ริ้วรอยเล็กๆ เริ่มถามหา และผิวเหมือนขาดความเฟิร์ม… นี่แหละครับ สัญญาณว่าผิวต้องการ “ตัวช่วย” ที่มากกว่าแค่สกินแคร์


และนี่คือจุดที่ Oligio เข้ามาเปลี่ยนเกม!เทคโนโลยีนี้คือการยกกระชับผิวด้วย คลื่นวิทยุความถี่สูงแบบ Monopolar RF ที่ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้น “คอลลาเจน” และ “อีลาสติน” ใต้ผิวโดยตรง ทำให้เส้นใยผิวที่เคยหย่อนคล้อยหดตัวและฟื้นคืนความยืดหยุ่นเหมือนย้อนเวลากลับไป

คอลลาเจน และ อีลาสติน: 2 เสาหลักแห่งผิวที่อ่อนเยาว์สำคัญต่อผิวเรายังใง?

คอลลาเจน (Collagen): เส้นใยที่ค้ำโครงสร้างผิว

  • หน้าที่หลัก: คอลลาเจนเปรียบเสมือน “โครงเหล็ก” ของตึก ถ้าโครงนี้แน่น ผิวก็จะตึง เรียบ และไม่ย่นง่าย

  • เกิดอะไรขึ้นเมื่อคอลลาเจนลดลง: อายุ 25+ ร่างกายเริ่มสร้างคอลลาเจนน้อยลงปีละ 1–1.5% ทำให้ผิวค่อยๆ หย่อนคล้อย กรอบหน้าเบลอ และริ้วรอยเริ่มมาเยือน

  • สิ่งที่ Oligio ทำ: ส่งพลังงาน RF ลงไปกระตุ้นคอลลาเจนเก่าให้หดตัวทันที และกระตุ้นร่างกายให้สร้างคอลลาเจนใหม่ต่อเนื่อง

อีลาสติน (Elastin): เบื้องหลังความเด้งของผิว

  • หน้าที่หลัก: อีลาสตินคือ “สปริงใต้ผิว” ที่ทำให้ผิวเด้งและยืดหยุ่น

  • เมื่ออีลาสตินเสื่อม: ผิวจะขาดแรงดีดกลับ กลายเป็นผิวที่ดูหย่อนและไม่เฟิร์ม

  • Oligio ช่วยยังไง: คลื่น RF ช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมเส้นใยอีลาสติน ทำให้ผิวกลับมาดูเฟิร์มและยืดหยุ่นมากขึ้น


ถ้า “คอลลาเจน” คือเสา และ “อีลาสติน” คือสปริง ผิวของเราคือเต็นท์ที่ต้องการทั้งโครงสร้างและแรงดีดกลับ! และนี่คือเหตุผลว่าทำไม Oligio จึงเป็นเทคโนโลยีที่ถูกพูดถึง เพราะมันลงลึกไปซ่อมถึงรากฐานของผิว ไม่ใช่แค่แก้ปัญหาที่ผิวชั้นบนเท่านั้น

Oligio ทำงานอย่างไร? เบื้องหลังการ “ยกกระชับ” ที่ลงลึกถึงแกนผิว

Oligio ทำงานอย่างไร? เบื้องหลังการ “ยกกระชับ” ที่ลงลึกถึงแกนผิว
Oligio ทำงานอย่างไร? เบื้องหลังการ “ยกกระชับ” ที่ลงลึกถึงแกนผิว

Oligio คือเทคโนโลยี Monopolar Radio Frequency (RF) รุ่นใหม่ ที่ออกแบบมาเพื่อ ยกกระชับผิวและฟื้นฟูคอลลาเจน โดยเฉพาะ โดยผสาน “พลังงานความร้อน” ที่ควบคุมได้อย่างแม่นยำกับระบบความปลอดภัยขั้นสูง โดยมี 3 หัวใจสำคัญของการทำงานของเครื่อง Oligio ดังนี้ครับ

  1. พลังงาน RF แบบ Monopolar

    1. คลื่น RF (Radio Frequency) ของ Oligio จะถูกส่งผ่านหัวทิปเข้าสู่ผิว

    2. เป็นระบบ Monopolar RF หมายความว่าพลังงานจะเดินทางลึกผ่านผิวหนังไปจนถึง ชั้นหนังแท้ (Dermis) และแม้แต่ชั้นใต้ผิว (Subcutaneous Layer)

    3. จุดเด่นของระบบนี้คือ ความลึกและความแม่นยำ ทำให้กระตุ้นคอลลาเจนได้เต็มที่ โดยไม่ทำร้ายผิวชั้นบน

  2. ความร้อนที่ควบคุมได้: “อุณหภูมิทองคำเพื่อผิวกระชับ”

    1. เครื่อง Oligio ปล่อยความร้อนในระดับ 40–45°C ซึ่งเป็น “จุดที่เหมาะสมที่สุด” สำหรับการกระตุ้นคอลลาเจน

    2. มีระบบ Real-Time Temperature Control คอยตรวจจับอุณหภูมิผิวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พลังงานลงสู่ผิวได้อย่างแม่นยำ

    3. ผลลัพธ์คือ ยกกระชับได้จริง โดยไม่ทำร้ายผิวชั้นบน และไม่ต้องพักฟื้น

  3. คอลลาเจนหดตัวทันที + สร้างใหม่ในระยะยาว: “ผลลัพธ์สองต่อ”

    1. ทันที: คอลลาเจนเดิมหดตัว ทำให้ผิวรู้สึกกระชับและเฟิร์มขึ้นตั้งแต่ครั้งแรก

    2. ระยะยาว: ร่างกายจะเริ่มสร้าง คอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ต่อเนื่อง ทำให้ผิวแน่น ฟู และเรียบเนียนขึ้นใน 4–12 สัปดาห์

    3. ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็ง ไม่ปลอม แต่เหมือนผิวฟื้นคืนความอ่อนเยาว์จากภายใน

Oligio ใช้คลื่น RF แบบ Monopolar → ปล่อยความร้อนที่ควบคุมได้ → คอลลาเจนหดตัวทันทีและฟื้นฟูต่อเนื่อง → ผิวยกกระชับ เต่งตึง ดูเด็กลงอย่างเป็นธรรมชาติครับ

Oligio Spot Check: บริเวณไหนทำแล้วเห็นผลชัดที่สุด

บริเวณที่สามารถใช้ Oligio ได้มีดังนี้:

  • ใบหน้าและลำคอ: Oligio สามารถยกกระชับผิวได้ทั่วทั้งใบหน้า รวมถึงบริเวณรอบดวงตาที่บอบบาง แก้ม กรอบหน้า และเหนียง การทำในส่วนนี้จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแน่นขึ้น กรอบหน้าชัดขึ้น และลดริ้วรอยเล็กๆ ที่เกิดจากความหย่อนคล้อย

  • รอบดวงตา: ด้วยหัวทิปขนาดเล็กที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับบริเวณรอบดวงตา Oligio จึงสามารถใช้แก้ปัญหาผิวรอบดวงตาหย่อนคล้อย ริ้วรอยตีนกา และทำให้ผิวใต้ตาดูเรียบเนียนขึ้น

  • ลำตัว: Oligio ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ใบหน้า แต่ยังสามารถใช้กับบริเวณอื่นๆ ของร่างกายได้ด้วย เช่น หน้าท้องที่หย่อนคล้อยหลังคลอด หรือต้นแขนที่เริ่มไม่กระชับ การรักษาในส่วนนี้จะช่วยทำให้ผิวบริเวณดังกล่าวดูเรียบเนียนและแน่นขึ้น

การทำหัตถการ Oligio ดีจริงไหม? เปรียบเทียบข้อดีและข้อจำกัดกับหัตถการยกกระชับอื่นๆ

ข้อดีของการทำ Oligio
ข้อดีของการทำ Oligio
ข้อดีของการทำ Oligio
  • ยกกระชับได้ลึกและทั่วถึง: ด้วยพลังงาน Monopolar RF ที่เจาะลึกถึงชั้นหนังแท้และไขมันใต้ผิว

  • ผลลัพธ์ต่อเนื่อง: คอลลาเจนหดตัวทันทีและกระตุ้นการสร้างใหม่ยาวนาน 2 - 3 เดือน

  • ไม่ต้องพักฟื้น: ทำเสร็จสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

  • รู้สึกสบายขณะทำ: ระบบ Cooling System ช่วยลดความร้อนผิวชั้นบน ทำให้ไม่ต้องใช้ยาชาในหลายกรณี

  • ปลอดภัย: มีระบบตรวจวัดอุณหภูมิเรียลไทม์ ป้องกันความร้อนเกินจุด

  • เหมาะกับหลายบริเวณ: ทำได้ทั้งใบหน้า กรอบหน้า คอ รอบดวงตา


ข้อจำกัดของการทำ Oligio
  • ราคาอยู่ในระดับกลางถึงสูง: แพงกว่า HIFU แต่โดยรวมถูกกว่า Thermage

  • ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทย์: เพื่อกำหนดพลังงานให้เหมาะสมกับผิว

  • อาจต้องทำซ้ำปีละ 1 ครั้ง: เพื่อคงผลลัพธ์ระยะยาว

  • ไม่เหมาะกับผิวที่หย่อนคล้อยรุนแรงมาก: กรณีนี้อาจต้องใช้วิธีเสริม เช่น ฟิลเลอร์งานผิวหรือหัตถการอื่นร่วมด้วย

ไม่ใช่แค่วันนี้ แต่ยาวไปถึงหลายเดือน: ผลลัพธ์ Oligio ที่คุณควรรู้

ผลลัพธ์ Oligio ที่คุณควรรู้
ผลลัพธ์ Oligio ที่คุณควรรู้

ผลลัพธ์หลังการทำ Oligio จะอยู่ได้นานประมาณ 6-8เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สภาพผิวเดิม อายุ การดูแลตัวเองหลังทำ และพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน 


ปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลาของผลลัพธ์หลังการทำ Oligio ประกอบด้วย

สภาพผิวเดิมและปัญหาผิว: ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในระดับเริ่มต้นถึงปานกลางมักจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและคงทนกว่า เนื่องจาก Oligio มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างตรงจุด

  • อายุ: อายุที่เพิ่มขึ้นส่งผลโดยตรงต่อการลดลงของปริมาณคอลลาเจนในผิวหนัง ทำให้กระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่เกิดขึ้นช้าลง ดังนั้นผลลัพธ์ในผู้สูงอายุจึงอาจอยู่ได้ไม่นานเท่ากับผู้ที่อายุน้อยกว่า

  • การดูแลตัวเองหลังทำ: การใช้ชีวิตประจำวันมีบทบาทสำคัญในการรักษาผลลัพธ์ให้คงอยู่ การหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด การทาครีมกันแดดเป็นประจำ การพักผ่อนให้เพียงพอ การดื่มน้ำเยอะๆ และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ จะช่วยให้ผิวมีสุขภาพดีและคงความกระชับได้นานขึ้น

  • พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน: ปัจจัยอื่นๆ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ หรือความเครียด ล้วนส่งผลกระทบต่อการเสื่อมสภาพของคอลลาเจน ทำให้ผิวกลับมาหย่อนคล้อยได้เร็วกว่าปกติ

ใครบ้างที่เหมาะกับ Oligio: เทคโนโลยียกกระชับที่หลายคนหลงรัก

หลายคนที่มาที่ Entrio Clinic ราชประสงค์ มักถามผมว่า “หมอโนโน่… ผมเหมาะกับ Oligio ไหม?”

คำตอบคือ ไม่ใช่ทุกคนต้องทำ Oligio แต่สำหรับบางคน มันคือเทคโนโลยีที่ “ใช่ที่สุด” เพราะสามารถยกกระชับ ฟื้นฟูคอลลาเจน และคืนความเฟิร์มให้ผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องพักฟื้นหรือเจ็บมาก

ก่อนที่คุณจะตัดสินใจ ลองเช็กดูว่าคุณ หรือเปล่า เพราะถ้าใช่… Oligio อาจเป็นหัตถการที่เปลี่ยนผิวคุณได้จริง!

  1. ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง เช่น กรอบหน้าไม่ชัด แก้มเริ่มตก หรือมีเหนียงเล็กๆ

  2. ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูคอลลาเจนโดยไม่เจ็บมากเหมาะกับคนที่กลัวเข็มหรือไม่อยากผ่าตัด

  3. ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ค่อยเป็นค่อยไป ดูเป็นธรรมชาติทำแล้วไม่โป๊ะ ไม่มีอาการบวมจนคนทัก

  4. คนที่มีผิวบางหรือกลัวรอยช้ำเพราะ Oligio ใช้พลังงาน RF จึงไม่เกิดรอยเขียวช้ำเหมือนบางหัตถการ

  5. คนที่ต้องการฟื้นฟูรอบดวงตาเนื่องจากพลังงาน RF ของ Oligio สามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยแม้ในบริเวณที่ผิวบอบบาง

  6. ผู้ที่มีเวลาไม่มากทำเสร็จกลับไปทำงานได้ทันที ไม่ต้องพักฟื้น

กลุ่มที่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการทำ Oligio

  1. ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยรุนแรงมาก อาจต้องใช้หัตถการเสริม เช่น ฟิลเลอร์งานผิว หรือหัตถการยกกระชับแบบอื่น

  2. ผู้ที่มีโรคผิวหนังบางชนิด หรือใส่เครื่องมือแพทย์ฝังในร่างกาย (เช่น Pacemaker) ควรให้แพทย์ประเมินก่อน

  3. ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรเลื่อนการทำออกไป

ก่อนสวยต้องเตรียมตัว: การดูแลผิวก่อนทำหัตถการ

เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัย การเตรียมตัวก่อนทำ Oligio ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่คุณควรใส่ใจ โดยมีข้อแนะนำดังนี้ครับ


สิ่งที่ควรเตรียมตัวและปฏิบัติ

  • งดวิตามินและยาบางชนิด: ควรงดวิตามิน อาหารเสริม หรือยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน วิตามินอี หรือน้ำมันตับปลา อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนเข้ารับบริการ (ควรปรึกษาแพทย์ก่อนงดยาประจำ)

  • พักผ่อนให้เพียงพอ: ควรนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ในคืนก่อนวันทำหัตถการ เพื่อให้ร่างกายมีความพร้อมและฟื้นตัวได้ดี

  • ทำความสะอาดผิวหน้า: ในวันเข้ารับบริการ ควรงดการแต่งหน้าและทาครีมหรือโลชั่นใดๆ เพื่อให้ผิวสะอาดและพร้อมสำหรับการรักษา

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำมากๆ จะช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นและพร้อมต่อการทำหัตถการ

  • แจ้งประวัติสุขภาพ: ควรแจ้งประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว หรือหัตถการเสริมความงามที่เคยทำมาก่อนหน้าให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด เช่น การฉีดโบท็อกซ์หรือฟิลเลอร์ ควรเว้นระยะอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ก่อนทำ Oligio

  • ถอดเครื่องประดับ: ควรนำเครื่องประดับที่เป็นโลหะออกทั้งหมดก่อนเข้ารับบริการ


ข้อควรระวังและข้อห้าม

  • ไม่ควรทำ Oligio หาก:

    • ตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร

    • มีการติดเชื้อทางผิวหนัง เช่น เริม หรือผิวหนังอักเสบในบริเวณที่จะทำ

    • มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบเลือด

    • ผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ในร่างกาย

  • งดผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว: หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดผลัดเซลล์ผิว เช่น AHA, BHA หรือเรตินอล อย่างน้อย 3-5 วันก่อนทำ

  • งดการทำกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด: หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก หรือการอบซาวน่าอย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนเข้ารับบริการ

หลังทำผิวก็สำคัญ: วิธีฟื้นฟูและรักษาผลลัพธ์ให้ยาวนาน

หลังทำผิวก็สำคัญ: วิธีฟื้นฟูและรักษาผลลัพธ์ให้ยาวนาน
หลังทำผิวก็สำคัญ: วิธีฟื้นฟูและรักษาผลลัพธ์ให้ยาวนาน

เนื่องจากผิวจะอยู่ในช่วงที่กำลังฟื้นฟูและสร้างคอลลาเจนใหม่ การดูแลตัวเองหลังการทำ Oligio จึงเป็นสิ่งสำคัญมากเพื่อยืดอายุความกระชับของผิว ดังนั้นจึงควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดดังต่อไปนี้ ครับ


สิ่งที่ควรทำ

  • ทาครีมกันแดด: ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง (อย่างน้อย SPF 30 หรือ 50 ขึ้นไป) ทุกวัน แม้จะไม่ได้ออกแดด เพราะรังสียูวีเป็นตัวการสำคัญที่ทำลายคอลลาเจนในชั้นผิว

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำอย่างน้อย 2-3 ลิตรต่อวันจะช่วยให้ร่างกายและผิวหนังชุ่มชื้น ซึ่งช่วยเสริมกระบวนการฟื้นฟูผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดียิ่งขึ้น

  • ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว: สามารถทาครีมบำรุงผิวหรือมอยส์เจอไรเซอร์ได้ตามปกติ โดยเน้นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและมีความอ่อนโยนต่อผิว

  • พักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและฟื้นฟูผิวได้อย่างเต็มที่

  • ประคบเย็น (ถ้าจำเป็น): หากมีอาการบวมแดงหรือรู้สึกไม่สบายผิว สามารถใช้การประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการได้


สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง

  • ความร้อน: งดการเผชิญหน้ากับความร้อนจัด เช่น การอาบน้ำอุ่น/ร้อนจัด การอบซาวน่า อบไอน้ำ หรือการสัมผัสความร้อนจากเตาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์หลังทำ

  • แสงแดดจัด: หลีกเลี่ยงการออกแดดจัดโดยตรงเป็นเวลาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันผิวที่บอบบางในช่วงฟื้นตัว

  • การขัดผิว/สครับผิว: งดการขัดหรือสครับผิว และการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดผลัดเซลล์ผิว (เช่น AHA, BHA) ประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการระคายเคือง

  • หัตถการอื่นๆ: ควรเว้นระยะการทำทรีตเมนต์หรือหัตถการอื่นๆ ที่ใช้ความร้อนกับผิว เช่น การทำเลเซอร์ หรือ RF (Radio Frequency) อย่างน้อย 1 เดือน

  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่: ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะทำลายคอลลาเจนและส่งผลให้การฟื้นฟูผิวด้อยประสิทธิภาพลง

สกินบูสเตอร์(Skinbooster): "เติมน้ำให้ผิว" เคล็ดลับผิวเด้งโกลว์ที่คนรักผิวต้องรู้!

สกินบูสเตอร์(Skinbooster): "เติมน้ำให้ผิว" เคล็ดลับผิวเด้งโกลว์ที่คนรักผิวต้องรู้!
สกินบูสเตอร์(Skinbooster): "เติมน้ำให้ผิว" เคล็ดลับผิวเด้งโกลว์ที่คนรักผิวต้องรู้!

ถ้า Oligio คือเทคโนโลยียกกระชับที่ฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้เฟิร์มและกระชับขึ้นจาก “ด้านลึก”Skinbooster ก็เปรียบเสมือน “การเติมความชุ่มชื้นและฟื้นฟูผิวให้เปล่งประกาย” จาก “ด้านใน”

หลายคนอาจเคยฉีดฟิลเลอร์ ปรับรูปหน้า หรือใช้สกินแคร์ราคาแพงมาแล้ว แต่ผิวยังดูหมอง ขาดน้ำ หรือดูเหนื่อยล้าอยู่ดี นั่นเพราะสิ่งที่ขาดไปอาจไม่ใช่แค่การบำรุงภายนอก แต่คือการ เติม Hyaluronic Acid (HA) ลงไปในผิวโดยตรง เพื่อให้ผิวกลับมาชุ่มชื้น เด้งฟู และดูโกลว์แบบธรรมชาติ

และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ Skinbooster กลายเป็นอีกหนึ่งหัตถการที่ถูกพูดถึงอย่างมากในคลินิกเสริมความงามย่านราชประสงค์!

เคล็ดลับผิวโกลว์: ทำความรู้จัก สกินบูสเตอร์(Skinbooster)  หัตถการฟื้นฟูผิวจากด้านใน

ลองจินตนาการว่าผิวของเราเปรียบเสมือน “ฟองน้ำ” ที่เคยอุ้มน้ำเต็มเปี่ยม แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความชุ่มชื้นค่อย ๆ ระเหยออกไปทีละนิด ทำให้ฟองน้ำค่อย ๆ แห้งกร้าน ไม่ยืดหยุ่น และดูหมองลง แม้จะทาครีมบำรุงราคาแพงเพียงใด ก็เหมือนเป็นการเคลือบน้ำไว้แค่ “ด้านนอก” ของฟองน้ำ ไม่ได้ซึมลึกไปบำรุงถึงแกนกลางที่ขาดน้ำจริง ๆ

นี่แหละคือจุดที่ สกินบูสเตอร์ (Skinbooster) เข้ามาช่วยกอบกู้ผิว!ด้วยเทคนิคการฉีด Hyaluronic Acid (HA) โมเลกุลขนาดเล็กลงลึกถึงผิวชั้นกลาง (Dermis) — ชั้นที่เป็น “แหล่งเก็บน้ำและโครงสร้างผิว” — HA จะทำหน้าที่เหมือนเติมน้ำให้ฟองน้ำดูดซับได้เต็มที่อีกครั้ง

ผลลัพธ์คือผิวที่ดู ฟู เด้ง อิ่มน้ำ และมีประกายโกลว์อย่างเป็นธรรมชาติ รูขุมขนดูละเอียดขึ้น ริ้วรอยจางลง และผิวดูสุขภาพดีแบบที่ไม่ต้องพึ่งฟิลเตอร์

จากเข็มสู่ผิวสวย: เส้นทางการทำงานของ Skinbooster

จากเข็มสู่ผิวสวย: เส้นทางการทำงานของ Skinbooster
จากเข็มสู่ผิวสวย: เส้นทางการทำงานของ Skinbooster

Skinbooster คือหัตถการทางการแพทย์ที่ช่วยฟื้นฟูผิวจากภายในสู่ภายนอก โดยการฉีดสารบำรุงผิวเข้าไปในชั้นผิวหนังแท้ (dermis) เพื่อช่วยปรับปรุงคุณภาพผิวให้ดีขึ้น โดยส่วนใหญ่สารหลักที่ใช้คือ ไฮยาลูรอนิคแอซิด (Hyaluronic Acid - HA) แบบที่ไม่คงตัว (non-cross-linked) หรือสารอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกัน


กลไกการทำงานของ Skinbooster มีดังนี้

  1. เติมความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างล้ำลึก: สารไฮยาลูรอนิคแอซิดมีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำได้ดี เมื่อฉีดเข้าไปในชั้นผิวหนังแท้ สารนี้จะทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำที่กักเก็บความชุ่มชื้น ทำให้ผิวอิ่มฟู ฉ่ำน้ำ และลดปัญหาผิวแห้งกร้าน

  2. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน: ไฮยาลูรอนิคแอซิดจะกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (fibroblasts) ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างคอลลาเจนและอิลาสติน เมื่อเซลล์เหล่านี้ทำงานได้ดีขึ้น ผิวจะมีความยืดหยุ่นและกระชับขึ้น

  3. ฟื้นฟูโครงสร้างผิว: การฉีด Skinbooster จะช่วยเสริมสร้างโครงสร้างผิวให้แข็งแรงขึ้น ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น และช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ รอยสิว และรอยแผลเป็นที่ไม่ลึกให้ดูจางลง

  4. ปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม: ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำงานข้างต้นคือผิวจะดูมีสุขภาพดีขึ้น เปล่งปลั่ง กระจ่างใส และรูขุมขนดูกระชับขึ้น


ความแตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไป

แม้ว่า Skinbooster จะใช้สารไฮยาลูรอนิคแอซิดเช่นเดียวกับฟิลเลอร์ แต่มีจุดประสงค์และกลไกการทำงานที่แตกต่างกัน:

  • ฟิลเลอร์ (Dermal Fillers) มีลักษณะเป็นเจลที่คงตัวกว่า มีความหนืดสูง เพื่อใช้เติมเต็มปริมาตรในจุดที่ต้องการ เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา หรือปรับโครงหน้า

  • Skinbooster มีลักษณะเป็นเจลที่เหลวกว่า เน้นการกระจายตัวในชั้นผิว เพื่อช่วยบำรุงและฟื้นฟูคุณภาพผิวโดยรวมให้ดีขึ้นจากภายใน โดยไม่ทำให้โครงหน้าเปลี่ยนไป

สรุปคือ Skinbooster ไม่ได้เน้นการเติมเต็มหรือเปลี่ยนรูปหน้า แต่เน้นการ "บำรุง" และ "ฟื้นฟู" ผิวในระยะยาว ทำให้ผิวมีคุณภาพดีขึ้น สุขภาพดีขึ้น และดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

Skinbooster มีกี่แบบ? เลือกให้ถูก ผิวสวยปังไวกว่าเดิม

สกินบูสเตอร์ในปัจจุบันมีหลายประเภทและหลายยี่ห้อ ซึ่งแต่ละชนิดมีส่วนผสมและจุดเด่นที่แตกต่างกันไป การเลือกใช้จึงควรพิจารณาจากปัญหาผิวและผลลัพธ์ที่ต้องการ โดยสามารถแบ่งประเภทหลักๆ ดังนี้ครับ:

1. กลุ่มเติมความชุ่มชื้น: สารไฮยาลูรอนิกแอซิด (HA) แบบไม่คงตัว

กลุ่มนี้คือ สกินบูสเตอร์ ที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกันดี มีคุณสมบัติเด่นในการ เพิ่มความชุ่มชื้น ให้ผิวอย่างล้ำลึก โดยจะใช้สาร ไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid - HA) ซึ่งเป็นโมเลกุลที่ช่วยอุ้มน้ำในผิวได้ดีเยี่ยม เมื่อฉีดเข้าไปจะช่วยฟื้นฟูผิวที่แห้งกร้านให้กลับมาดูอิ่มฟู และเปล่งปลั่งมากขึ้น


  • Definisse Hydrobooster

    Definisse Hydrobooster
    Definisse Hydrobooster
    • จุดเด่น: เน้นการเติมน้ำและความชุ่มชื้นแบบเร่งด่วน ใช้เทคโนโลยีที่ทำให้ HA ผสานเข้ากับผิวได้ดี จึงช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและลดความแห้งกร้านได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ผิวดูโกลว์และกระจ่างใส

    • เหมาะกับ: ผู้ที่มีผิวแห้งขาดน้ำ ผิวที่หมองคล้ำ หรือต้องการเตรียมผิวให้ชุ่มชื้นก่อนการทำหัตถการอื่น ๆ


  • Profhilo

    Profhilo
    Profhilo
    • จุดเด่น: ใช้เทคโนโลยีเฉพาะที่เรียกว่า Hybrid Cooperative Complex ทำให้ HA มีความบริสุทธิ์สูงและคงตัวอยู่ในชั้นผิวได้นาน จึงไม่เพียงแค่ให้ความชุ่มชื้น แต่ยังทำหน้าที่เป็น 'Bioremodeling' ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวได้ถึง 4 ชนิด ทำให้ผิวแน่นและยืดหยุ่นขึ้นจากภายใน

    • เหมาะกับ: ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวที่ขาดความยืดหยุ่นและหย่อนคล้อยเล็กน้อย รวมถึงผู้ที่ต้องการเพิ่มคุณภาพผิวให้ดูแข็งแรงและสุขภาพดีแบบองค์รวม

2. กลุ่มสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen Stimulators)

สกินบูสเตอร์กลุ่มนี้จะไม่ได้เน้นแค่การเติมน้ำให้ผิว แต่มีเป้าหมายหลักในการ กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจน ขึ้นมาใหม่เองอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผิวมีความแน่นกระชับและยืดหยุ่นมากขึ้นในระยะยาว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยจากภายใน


  • Radiesse (CaHA)

    Radiesse (CaHA)
    Radiesse (CaHA)
    • จุดเด่น: มีส่วนประกอบของ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ซึ่งทำหน้าที่เป็น 'biostimulator' เข้าไปเสริมโครงสร้างและเป็นนั่งร้านให้กับผิว พร้อมกระตุ้นเซลล์ Fibroblast ให้สร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวที่กระชับและมีความยืดหยุ่นอย่างเป็นธรรมชาติ

    • เหมาะกับ: ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อย ต้องการเพิ่มความแน่นกระชับ และฟื้นฟูโครงสร้างผิวในระยะยาว


  • Sculptra (PLLA)

    Sculptra (PLLA)
    Sculptra (PLLA)
    • จุดเด่น: ประกอบด้วยสาร Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของผิวได้ดีเยี่ยม โดยผลลัพธ์จะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นหลังทำและสามารถคงอยู่ได้นานถึง 2 ปี

    • เหมาะกับ: ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวที่ขาดความยืดหยุ่นและหย่อนคล้อยค่อนข้างมาก รวมถึงผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและดูเป็นธรรมชาติ


  • Pluryal

    Pluryal
    Pluryal
    • จุดเด่น: Pluryal เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์จากลักเซมเบิร์กที่ใช้เทคโนโลยี HPN (Highly Pure Polynucleotides) ซึ่งเป็นสาร Polynucleotides (PN) บริสุทธิ์ที่สกัดจาก DNA ปลาแซลมอน และมีโครงสร้างใกล้เคียง DNA มนุษย์ เมื่อผสานกับ กรดไฮยาลูโรนิก (HA) และสาร Mannitol จะช่วยกระตุ้นเซลล์ผิวให้สร้างคอลลาเจนและอีลาสตินมากขึ้น พร้อมเพิ่มความชุ่มชื้นและความแข็งแรงให้กับผิว ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้มีหลายรุ่นที่ตอบโจทย์เฉพาะด้าน เช่น

      • Pluryal Densify: ช่วยเติมความชุ่มชื้นและกระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวโดยรวม

      • Pluryal Silk: เหมาะสำหรับฟื้นฟูผิวบอบบางรอบดวงตาและริ้วรอยเล็กๆ

      • Pluryal Hair Density: บำรุงรากผมและลดปัญหาผมร่วง

    • เหมาะกับ: ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวแบบองค์รวม ทั้งความแน่นกระชับ ความชุ่มชื้น และยังช่วยแก้ปัญหาเฉพาะจุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คุณใช่คนที่ Skinbooster กำลังตามหาอยู่หรือไม่?

สกินบูสเตอร์เป็นหัตถการที่ออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูและปรับปรุงคุณภาพผิวจากภายใน จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ไม่เน้นการปรับเปลี่ยนรูปหน้าอย่างชัดเจนครับ

คนที่เหมาะสำหรับSkinbooster

  1. ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งขาดน้ำ: สกินบูสเตอร์ช่วยเติมความชุ่มชื้นสู่ผิวอย่างล้ำลึก ทำให้ผิวอิ่มฟู ดูฉ่ำน้ำ และลดปัญหาผิวลอกเป็นขุย

  2. ผู้ที่ผิวเริ่มมีริ้วรอยเล็กๆ: การฉีดสกินบูสเตอร์ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและเรียบเนียนขึ้น ริ้วรอยตื้นๆ จึงดูจางลง

  3. ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวที่หมองคล้ำและไม่สม่ำเสมอ: สกินบูสเตอร์ช่วยให้ผิวแลดูกระจ่างใส เปล่งปลั่ง และสีผิวดูสม่ำเสมอขึ้น

  4. ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง: สกินบูสเตอร์บางชนิดช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวมีความแน่นและกระชับขึ้น ซึ่งส่งผลให้รูขุมขนดูเล็กลง

  5. ผู้ที่ผิวไม่แข็งแรง แพ้ง่าย หรือมีรอยสิว: สกินบูสเตอร์บางประเภท เช่น Rejuran หรือ Exosome มีคุณสมบัติช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ผิว ลดการอักเสบ ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นและสมานแผลได้ดีขึ้น

  6. ผู้ที่ต้องการเตรียมผิวก่อนการทำเลเซอร์: การฉีดสกินบูสเตอร์ก่อนทำเลเซอร์จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและความแข็งแรงให้ผิว ทำให้ผิวฟื้นตัวได้เร็วและลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียง

  7. ผู้ที่ไม่ต้องการผลลัพธ์ที่ดูฉีดมาหรือเปลี่ยนรูปหน้า: สกินบูสเตอร์ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ผิวดูดีขึ้นจากภายใน เหมือนผิวได้รับการบำรุงมาอย่างดี


สรุปคือ สกินบูสเตอร์เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนกับการดูแลผิวพรรณในระยะยาว เพื่อให้ผิวมีสุขภาพดี แข็งแรง และดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ โดยสามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกประเภทของสกินบูสเตอร์ที่เหมาะสมกับปัญหาผิวและความต้องการเฉพาะบุคคล

Skinbooster ต้องทำบ่อยแค่ไหน? พร้อมเฉลยช่วงเวลาที่เห็นผลชัด

เนื่องจากสกินบูสเตอร์มีหลายประเภทและหลายยี่ห้อ ระยะเวลาในการเห็นผลและความถี่ที่ควรทำจึงแตกต่างกันไป โดยสามารถแบ่งตามกลุ่มหลักๆ ได้ดังนี้ ครับ

1. กลุ่มสารไฮยาลูรอนิคแอซิด (Hyaluronic Acid - HA)

  • ระยะเวลาเห็นผล: โดยปกติจะเริ่มเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงของผิวได้ตั้งแต่ 1-2 สัปดาห์หลังทำ ผิวจะเริ่มดูชุ่มชื้นขึ้น อิ่มน้ำขึ้น และดูเปล่งปลั่งขึ้นอย่างชัดเจน

  • ความถี่ที่ควรทำ: เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต่อเนื่องและคงอยู่ได้นาน มักแนะนำให้ทำเป็นคอร์ส โดยฉีด 3 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 2-4 สัปดาห์ หลังจากนั้นสามารถฉีดซ้ำเพื่อคงสภาพผิวไว้ได้ ทุกๆ 6-12 เดือน

2. กลุ่มสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen Stimulators)

  • ระยะเวลาเห็นผล: กลุ่มนี้จะใช้เวลาในการเห็นผลลัพธ์นานกว่ากลุ่ม HA เนื่องจากกลไกการทำงานคือการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ซึ่งต้องใช้เวลา โดยจะเริ่มเห็นผลได้ตั้งแต่ 4-6 สัปดาห์หลังทำ และจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุดในช่วง 2-3 เดือนหลังทำ

  • ความถี่ที่ควรทำ: มักแนะนำให้ทำเป็นคอร์ส โดยฉีด 2-3 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 4 สัปดาห์ หลังจากนั้นผลลัพธ์จะสามารถคงอยู่ได้ยาวนานถึง 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของสารและสภาพผิว


ปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อระยะเวลาและผลลัพธ์

  • สภาพผิวเดิมของแต่ละบุคคล: หากสภาพผิวเดิมมีปัญหามาก อาจต้องใช้จำนวนครั้งในการทำที่มากกว่า

  • การดูแลตัวเองหลังทำ: การใช้ครีมบำรุงที่เหมาะสม และการหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด จะช่วยให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานขึ้น

  • ชนิดของผลิตภัณฑ์และปริมาณที่ใช้: การเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

เตรียมผิวให้พร้อม ก่อนสัมผัสความชุ่มชื้นเต็มขั้น – หมอโนโน่ แห่ง Entrio Clinic แนะนำ

เตรียมผิวให้พร้อม ก่อนสัมผัสความชุ่มชื้นเต็มขั้น – หมอโนโน่ แห่ง Entrio Clinic แนะนำ
เตรียมผิวให้พร้อม ก่อนสัมผัสความชุ่มชื้นเต็มขั้น – หมอโนโน่ แห่ง Entrio Clinic แนะนำ

เพื่อให้การเตรียมตัวก่อนทำ Skinbooster เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ลองดูข้อมูลในรูปแบบดังนี้

1. ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ:

  • ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิว ปัญหา และความต้องการ เพื่อให้แพทย์แนะนำชนิด ปริมาณ และความถี่ในการฉีดที่เหมาะสม

  • แจ้งประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว หรือหัตถการเสริมความงามที่เคยทำมาก่อนหน้าให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด

2. งดเว้นสิ่งที่อาจทำให้เกิดรอยช้ำ:

  • งดการใช้ยาหรืออาหารเสริมที่อาจทำให้เลือดออกง่าย เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน วิตามินอี หรือน้ำมันปลา อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนทำ (หากเป็นยาประจำควรปรึกษาแพทย์ก่อนงด)

  • งดดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนทำ เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดรอยช้ำและอาการอักเสบ

3. เตรียมความพร้อมของผิว:

  • งดการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว เช่น AHA, BHA หรือ Retinol อย่างน้อย 3 วันก่อนทำ

  • งดการแว็กซ์ผิว ขัดผิว หรือสครับผิวในบริเวณที่จะทำ อย่างน้อย 3 วันก่อนทำ

  • หลีกเลี่ยงการออกแดดจัด และกิจกรรมที่ทำให้ผิวร้อน เช่น การอบซาวน่า หรือการออกกำลังกายอย่างหนัก อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนทำ

4. ทำความสะอาดผิวหน้า:

  • ในวันเข้ารับบริการ ควรงดแต่งหน้า และทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาด เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ

5. ข้อห้าม:

  • ไม่ควรทำ Skinbooster หากกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

  • ผู้ที่มีการติดเชื้อในบริเวณที่จะฉีด เช่น เริม หรือมีอาการอักเสบ ควรเลื่อนการฉีดออกไปก่อนจนกว่าจะหายเป็นปกติ

หลังทำ Skinbooster – เคล็ดลับดูแลผิวให้ชุ่มชื้นยาวนาน โดย หมอโนโน่ แห่ง Entrio Clinic

หลังทำ Skinbooster – เคล็ดลับดูแลผิวให้ชุ่มชื้นยาวนาน โดย หมอโนโน่ แห่ง Entrio Clinic
หลังทำ Skinbooster – เคล็ดลับดูแลผิวให้ชุ่มชื้นยาวนาน โดย หมอโนโน่ แห่ง Entrio Clinic

เพื่อการดูแลผิวที่เหมาะสมและปลอดภัยหลังการฉีด Skinbooster โดยเฉพาะในช่วงแรกที่มีรอยเข็มเล็กๆ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ครับ

1. ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก

  • งดแต่งหน้า: เพื่อป้องกันการอุดตันของรูเข็มและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า: ไม่ควรแตะ แกะ เกา หรือนวดบริเวณที่ฉีด เพื่อให้ผิวได้ฟื้นตัว

  • งดกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อน: หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก, การอบซาวน่า หรือการอยู่ในที่ที่มีอุณหภูมิสูง

2. ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตรจะช่วยให้สารไฮยาลูรอนิกใน Skinbooster ทำงานได้อย่างเต็มที่และช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้ดี

  • ทาครีมกันแดด: ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงเป็นประจำทุกวัน เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดดที่อาจทำลายคอลลาเจน

  • งดการทำหัตถการอื่นๆ: ควรงดการทำทรีตเมนต์, เลเซอร์, หรือหัตถการอื่นๆ ที่ใช้ความร้อนกับผิว เพื่อให้ผิวได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่

  • งดการขัด/สครับผิว: งดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว หรือการสครับผิว เพื่อป้องกันการระคายเคืองในบริเวณที่เพิ่งฉีด

  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่: สิ่งเหล่านี้อาจส่งผลต่อการฟื้นตัวของผิวและทำให้เกิดรอยช้ำได้ง่ายขึ้น

3. การดูแลระยะยาว

  • รักษาความชุ่มชื้น: ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยเพิ่มและกักเก็บความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างสม่ำเสมอ

  • วางแผนการฉีดซ้ำ: เพื่อคงผลลัพธ์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการฉีด Skinbooster ซ้ำทุกๆ 2-3 ครั้ง หรือตามคำแนะนำของแพทย์

ข้อดีและข้อจำกัดของ Skinbooster: สิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจฟื้นฟูผิว

ข้อดีของสกินบูสเตอร์

  • ช่วยเติมน้ำให้ผิว สกินบูสเตอร์ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างล้ำลึก ทำให้ผิวอิ่มฟู และดูฉ่ำน้ำมากขึ้น

  • ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน การฉีดสกินบูสเตอร์ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและเรียบเนียนขึ้น

  • ช่วยให้ผิวกระจ่างใส สกินบูสเตอร์ทำให้ผิวแลดูกระจ่างใส เปล่งปลั่ง และสีผิวดูสม่ำเสมอขึ้น

  • ช่วยลดปัญหารูขุมขนกว้าง สกินบูสเตอร์บางชนิดช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแน่นและกระชับขึ้น ซึ่งส่งผลให้รูขุมขนดูเล็กลง

  • ช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูผิว สกินบูสเตอร์บางประเภท เช่น Rejuran หรือ Exosome มีคุณสมบัติช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ผิว

  • ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ สกินบูสเตอร์ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ เหมือนผิวได้รับการบำรุงอย่างดีจากภายใน


ข้อจำกัดของสกินบูสเตอร์

  • ใช้เวลาในการเห็นผล สกินบูสเตอร์บางประเภท เช่น กลุ่มที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน จะใช้เวลาในการเห็นผลนานกว่า

  • ต้องทำซ้ำ เพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานและต่อเนื่อง ควรทำเป็นคอร์ส

  • ราคา การรักษาด้วยสกินบูสเตอร์อาจมีราคาสูง (ข้อความที่อ้างอิงถึงราคาอยู่ในบริบทของยี่ห้อหนึ่ง ไม่ใช่ของ Skinbooster โดยรวม)

  • ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทย์ เพื่อประเมินสภาพผิวและเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม

เคล็ดลับผิวสวยยาวนาน: ใช้ Oligio ร่วมกับ Skinbooster อย่างไรให้เวิร์คที่สุด

Oligio: การสร้างโครงสร้างผิวจากภายใน
Oligio: การสร้างโครงสร้างผิวจากภายใน

การผสมผสานการทำหัตถการระหว่าง Oligio และ Skinbooster เป็นแนวทางที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ผิวสวยที่ครบถ้วนทั้งในเรื่องของความกระชับและคุณภาพผิว Oligio และ Skinbooster ทำงานบนหลักการที่แตกต่างกัน แต่สามารถเสริมซึ่งกันและกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ นี่คือรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับกลยุทธ์การทำหัตถการทั้งสองร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน

Oligio: การสร้างโครงสร้างผิวจากภายใน

หลักการทำงาน: Oligio คือเทคโนโลยี Monopolar RF ที่ส่งพลังงานความร้อนลงสู่ชั้นผิวหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิว พลังงานความร้อนนี้จะไปทำให้คอลลาเจนเก่าที่หย่อนคล้อยเกิดการหดตัวทันที ทำให้ผิวรู้สึกกระชับขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ จากนั้น ร่างกายจะเริ่มกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่ในระยะยาว ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเป็นธรรมชาติ

จุดเด่น:

  • แก้ปัญหาต้นตอ: เน้นการแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวและโครงสร้างใบหน้าโดยตรง

  • ผลลัพธ์คงทน: กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผลลัพธ์ความกระชับอยู่ได้นานหลายเดือน

  • ความปลอดภัย: มีระบบทำความเย็นและความสั่นสะเทือน ทำให้รู้สึกเจ็บน้อยมาก

การทำ Oligio เปรียบเสมือนการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับผิว ทำให้ผิวมี "โครงสร้าง" ที่แข็งแรงและยกกระชับขึ้นจากภายใน

Skinbooster: การเติมเต็มและบำรุงผิวอย่างล้ำลึก

หลักการทำงาน: Skinbooster เป็นการฉีดกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid - HA) โมเลกุลเล็กที่ผ่านการปรับสภาพให้มีความคงตัวต่ำ เข้าสู่ชั้นผิวหนังแท้โดยตรง สารตัวนี้จะทำหน้าที่ดูดซับความชุ่มชื้นและกักเก็บน้ำไว้ในผิว ทำให้ผิวมีความอิ่มฟู ชุ่มชื้น และดูฉ่ำวาวจากภายใน

จุดเด่น:

  • เพิ่มคุณภาพผิว: ช่วยให้ผิวที่แห้งกร้านกลับมาดูมีชีวิตชีวา เนียนนุ่ม และกระจ่างใส

  • ลดริ้วรอยเล็กๆ: ริ้วรอยที่เกิดจากผิวขาดน้ำจะดูตื้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

  • ฟื้นฟูผิวอย่างรวดเร็ว: ให้ผลลัพธ์ด้านความชุ่มชื้นและงานผิวที่สามารถสังเกตเห็นได้ค่อนข้างเร็ว

การทำ Skinbooster เป็นเหมือนการ "เติมเต็ม" ให้กับโครงสร้างผิวที่แข็งแรงแล้ว ให้ดูอิ่มเอิบและเปล่งประกาย

กลยุทธ์การทำ Oligio ร่วมกับ Skinbooster เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

การรวมหัตถการทั้งสองเข้าด้วยกัน ควรทำอย่างมีลำดับและเป็นขั้นตอนเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด:

  1. ทำ Oligio เป็นอันดับแรก: ควรเริ่มด้วยการทำ Oligio เพื่อ "ยกกระชับโครงสร้างผิว" ที่หย่อนคล้อยและสร้างกรอบหน้าให้ชัดเจนขึ้นก่อน ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์เพื่อให้ผิวเริ่มเข้าที่และฟื้นตัว

  2. ตามด้วย Skinbooster: หลังจากผิวเริ่มกระชับขึ้นจากการทำ Oligio แล้ว จึงค่อยฉีด Skinbooster เข้าไปในชั้นผิว เพื่อ "เติมความชุ่มชื้นและฟื้นฟูผิว" ให้ดูฉ่ำวาว การทำตามลำดับนี้จะช่วยให้สารสกินบูสเตอร์ทำงานได้อย่างเต็มที่และกระจายตัวได้ดีขึ้นบนโครงสร้างผิวที่ได้รับการยกกระชับแล้ว


การใช้ Oligio และ Skinbooster ร่วมกันถือเป็น "การรักษาแบบองค์รวม" Oligio จะเน้นการแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยจากโครงสร้างภายใน ส่วน Skinbooster จะช่วยปรับปรุงคุณภาพผิวและเติมความชุ่มชื้นให้ผิวดูสุขภาพดีจากภายนอก การทำทั้งสองหัตถการนี้ควบคู่กันจึงเป็นวิธีที่ครบถ้วนและยั่งยืนในการดูแลผิวให้ดูอ่อนเยาว์และสวยงามไปพร้อมๆ กัน

สรุปแล้ว เติม vs ยก: สองพลังงานผิวสวย เลือกอย่างไรให้เป๊ะที่สุด

สรุปได้ว่า Oligio ใช้พลังงานคลื่นความถี่วิทยุเพื่อกระตุ้นและทำให้คอลลาเจนใต้ผิวหดตัว จึงเน้นที่การแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยและกรอบหน้าไม่ชัด ในขณะที่สกินบูสเตอร์เป็นการฉีดสารไฮยาลูรอนิกเข้าผิวชั้นตื้นเพื่อเติมความชุ่มชื้นโดยตรง จึงเน้นแก้ปัญหาผิวแห้งกร้านและริ้วรอยเล็กๆ ที่เกิดจากผิวขาดน้ำ ทั้งสองหัตถการให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดย Oligio ให้ความกระชับและโครงสร้างที่แข็งแรง ส่วนสกินบูสเตอร์ให้ความอิ่มฟูและผิวที่ฉ่ำวาว Oligio เจ็บน้อยมากหรือแทบไม่รู้สึกเลย ส่วนสกินบูสเตอร์อาจมีรอยเข็มเล็กๆ และอาการบวมหลังทำ สำหรับความถี่ในการทำ Oligio ควรทำปีละ 1-2 ครั้ง ส่วนสกินบูสเตอร์ควรทำเป็นคอร์สในระยะแรกและทำซ้ำทุก 4-6 เดือน อย่างไรก็ตาม ทั้งสองหัตถการสามารถทำร่วมกันได้ โดยเริ่มจากการทำ Oligio เพื่อสร้างโครงสร้างผิวที่แข็งแรง จากนั้นจึงตามด้วยสกินบูสเตอร์เพื่อเติมความชุ่มชื้นและบำรุงผิวให้ดูมีสุขภาพดี ครับ


ที่ Entrio Clinic คลินิกเสริมความงาม ราชประสงค์ ผม หมอโนโน่ และทีมงานพร้อมเป็น "เพื่อนร่วมทาง" ที่จะช่วยไขข้อข้องใจว่า ควรเลือกเติมน้ำและฟื้นฟูผิวด้วย Skinbooster หรือยกกระชับโครงสร้างผิวด้วย Oligio เพื่อผลลัพธ์ที่ตรงใจคุณที่สุด เรามุ่งมั่นที่จะมอบ Refined Aesthetic Experience หรือประสบการณ์ความงามเหนือระดับ ที่มาจากความเข้าใจในศาสตร์แห่งผิวพรรณอย่างลึกซึ้ง และการดูแลด้วยหัวใจ


มาปรึกษาผม หมอโนโน่ ที่ Entrio Clinic วันนี้ เพื่อค้นหาหัตถการที่ใช่สำหรับคุณ และเริ่มต้นสู่ผิวสวย กระชับ และสุขภาพดีแบบมืออาชีพครับ!

Entrio Clinic - Refined Aesthetic Experience 

“เราเชื่อว่า ความสวยที่แท้จริง มาจากสุขภาพผิวที่ดี และความเข้าใจในวิทยาศาสตร์”

📍 ที่ตั้ง: https://maps.app.goo.gl/X9WpN51pnK5otKip8

ชั้น 4 ตึกเอราวัณ แบงค็อก (Erawan Bangkok), สี่แยกราชประสงค์ (หลังศาลท้าวมหาพรหมเอราวัณ) กรุงเทพมหานคร

💬 Line: @‌entrioclinic หรือคลิก bit.ly/EntrioLine

📞 โทร: 097-154-2222

🌐 Website: entrioclinic.com

💻 Facebook: facebook.com/EntrioClinic

📷 Instagram: entrioclinic หรือคลิ๊ก instagram.com/entrioclinic/

 
 
 

ความคิดเห็น


© 2024 เอ็นทริโอ คลินิก. สงวนลิขสิทธิ์

bottom of page